เทคนิคการสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถือเป็นเทคนิคของแต่ละบุคคล นักสืบบางคนอาจจะชำนาญการสืบสวนทางเทคโนโลยีที่ทันสมัย ในขณะที่นักสืบบางคนยังคงใช้ กลเม็ดเด็ดพรายที่ถูกถ่ายทอดจากอดีตนักสืบฝีมือดีรุ่นเก๋ากึ๊กมาปราบเหล่าร้ายที่ก่อกรรมทำเข็ญกับเพื่อนมนุษย์ผู้บริสุทธิ์
ไม่นานมานี้มีเรื่องราวฮือฮาเกิดขึ้นเมื่อ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ภาค 1 จับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีโดยใช้วิธีส่งจดหมายหลอกให้คนร้ายมารับรางวัล ไม่ต้องเดินทางไปจับกุมให้เปลืองเวลา ลงทุนค่าสแตมป์แปะมุมขวาหน้าซองจดหมายไม่กี่บาท แล้วนั่งกระดิกเท้ารอแล้วผู้ต้องหาตามหมายจับคดีค้างเก่าก็เดินมาให้รวบโดยละม่อม เหมือนสังข์ทองร่ายมนต์เรียกปลายังไงยังงั้น
ใกล้ช่วงเทศการปีใหม่หลายคนนิยมส่ง สคส.หรือของขวัญให้คนพิเศษซึ่งมีทั้งเพื่อนสนิทมิตรสหาย หรือผู้ใหญ่ที่เคารพรักแต่ พ.ต.ท.อุเทน นุ้ยพิน สารวัตร กองกำกับการสืบสวนสอบสวน 3 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ( สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.ภ.1 ) กลับนำแฟ้มรายชื่อผู้ต้องหาคดีค้างเก่าที่ฝุ่นจับเขลอะของตำรวจภาค 1 มาตรวจสอบ พบยังมีผู้ต้องหาที่หลบหนีหลายราย ก่อนงัดวิชาการสืบสวนจากอดีตนักสืบรุ่นก่อนร่อนจดหมายกว่า 100 ฉบับ ไปยังบรรดาผู้ต้องหาหนีอาญาแผ่นดิน
เอกสารขนาดเอ 4 ระบุว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ทางบริษัทจะสมนาคุณท่านลูกค้า และท่านคือผู้โชคดีจากการสุ่มหมายเลขโทรศัพท์และเลขบัตรประชาชน 13 หลัก ให้รีบติดต่อมารับเครื่องใช้ไฟฟ้าเช่น ทีวี ดีวีดี ตู้เย็นหรือชุดโฮมเธียร์เตอร์ มูลค่า 2- 3 หมื่น บาท หรือเงินพ็อกเก็ตมันนี่ 8,000 บาท เพียงส่งจดหมายมายืนยันพร้อมทั้งแจ้งที่อยู่ปัจจุบันและหมายเลขโทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้กลับมาก่อนมิเช่นนั้นจะถือว่าสละสิทธิ์ ทั้งนี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด โดยให้รับของด้วยตนเองภายในวันที่ 24 ธันวาคม 2552 ที่ห้างเจ.เจ.มอลล์ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม.ไม่นานมีผู้ตอบรับมาประมาณ 30 ราย
เช้าวันที่ 24 ธันวาคม ที่ห้างเจ.เจ.มอลล์ต่างคึกคักไปด้วยบรรดาเหล่าร้ายที่มีหมายจับศาลติดตัว บางรายหยิบยืมเงินเหมารถมารับเครื่องใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีเพื่อนๆและญาติมิตรเดินทางมาร่วมแสดงความยินดีด้วย จากนั้นเข้าไปรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปลอมตัวเป็นพนักงานบริษัท ตั้งโต๊ะตรวจสอบรายชื่อผู้ที่เดินทางมา และทำทีให้กรอกแบบฟอร์ม ก่อนให้เข้าไปในห้องทีละราย
เหล่าร้ายที่คิดว่าตัวเองโชคดีดวงเฮง รับปีใหม่ แทบหงายหลัง เมื่อเจ้าหน้าที่ยื่นหมายจับออกมาให้ดู ก่อนพาไปสอบสวนที่ภาค 1 จากนั้นนำตัวมาให้ พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผบช.ภ.1 พร้อมด้วย พล.ต.ต.ปิยะ สอนตระกูล รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.ธัชชัย หงษ์ทอง ผบก.สส.ภ.1 แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน รวม 14 รายประกอบด้วย นายธีรยุทธ เจริญสูงเนิน อายุ 23 ปี คดีพรากเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดา เพื่ออนาจารและกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี นางสมพอ อังกะโทก อายุ 61 ปี ข้อหาร่วมกันจัดหางานให้คนงานไปทำงานในต่างประเทศ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนกลางฯ น.ส.ทัศนีย์ เรืองศรี อายุ 25 ปี ผู้ต้องหาคดีไม่จ่ายค่าแรง ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานตรวจงานตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน นายปัญญา สุขสุฤทธิ์ อายุ 25 ปี ข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ นายวีระพงษ์ คาดพันธ์โน อายุ 26 ปี ข้อหากระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี นายไกสวัสดิ์ แก้วพร อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาคดีข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นที่มิใช่ภรรยาของตน
นายพันศักดิ์ ศรีเพ็ง อายุ 25 ปี ตามหมายจับคดีพรากเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดา เพื่ออนาจารและกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี นายกฤษฎา ตนกลาย อายุ 21 ปี ข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนหรือรับของโจร นายวิทูนย์ หาญโก่ย อายุ 27 ปี ตามหมายจับคดีพรากเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดา เพื่ออนาจาร และ นายชัยชนะ ทองสงคราม อายุ 44 ปี ข้อหาข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย
นายเมืองนนท์ มาน้อย อายุ 26 ปี ข้อหา พรากเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดา นายสุขสันต์ ทองคำ อายุ 22 ปี ข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี และพรากผู้เยาว์ นายอานนท์ เทียนบูชา อายุ 30 ปี ข้อหาลัหทรัพย์ในเวลากลางคืน และนายถนอม พวงศิริ อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะ
“ตอนนั้นผมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ไม่คิดว่าตัวเองจะโชคดีขนาดนี้ เลยนำเอกสารหลักฐานรีบเดินทางเข้ามาติดต่อเพื่อรับของรางวัลที่ห้างเจเจมอลล์ พอเข้ามาติดต่อก็ถูกตำรวจแสดงตัวจับกุม แล้วแจ้งข้อหา ควบคุมตัวไว้ ซึ่งผมก็คิดไม่ถึงว่าตำรวจจะมีอุบายหลอกได้ถึงขนาดนี้ ต้องยอมจริงๆ” นายธีรยุทธ เจริญสูงเนิน กล่าวด้วยสีหน้าเซ็งๆ
เขาบอกอีกว่าในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ได้เดินทางมาทำงานรับจ้างทั่วไปใน จ.นนทบุรี หลังจากที่ก่อคดีแล้วก็หนี กลับบ้านเกิด กระทั่งเมื่อประมาณ 2 อาทิตย์ก่อน ก็ได้รับจดหมายว่า เป็นผู้โชคดีได้รับโทรทัศน์สี 32 นิ้ว จึงเดินทางมารับและถูกจับกุมดังกล่าว
ส่วน นางสมพอ อังกระโทก คุณยายวัย 61 พูดกับนักข่าวด้วยสีหน้าละห้อยว่า
“หนีคดีมาเกือบ 6 ปี แล้วมาโดนจับจนได้ ยายรู้สึกเสียใจที่เสียท่าตำรวจในครั้งนี้ เนื่องจากเชื่ออย่างสนิทใจว่าจะได้รับรางวัลจริงๆ อย่างไรก็ตามต้องขอชมเชยความคิดในการจับผู้ต้องหาครั้งนี้ และอยากจะให้รางวัลตำรวจที่คิดไอเดียหลอกผู้ต้องหามาให้จับได้อย่างง่ายดาย ”
อย่างไรก็ตามทราบกันดีว่านักสืบรุ่นเก่าๆก็ใช้มุขส่งจดหมายให้คนร้ายมารับรางวัลแล้วหลายราย โดย พล.ต.ต.วินัย ทองสอง รอง ผบช.ก. เปิดเผยว่าสมัยที่ดำรงตำแหน่งเป็น รอง สว.สส.สน.ปทุมวัน เมื่อปี 2526 มีคดีสามีฆ่าภรรยาตาย ซึ่งผู้ต้องหาหลบหนีการจับกุมมาตลอด จึงออกอุบายทำทีส่งจดหมายไปยังบ้านพักของผู้ต้องหา แจ้งว่าคุณคือผู้โชคดีถูกรางวัลของบริษัทนมตรามะลิ เป็นทองคำหนัก 20 บาท แต่ต้องแจ้งที่อยู่ปัจจุบันมาให้ทราบ ไม่กี่วันคนร้ายได้เขียนจดหมายตอบมาว่า ตนเองไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนั้นแล้ว ตอนนี้มาทำงานอยู่ที่พระประแดง จ.สมุทรปราการ นอกจากนี้คนร้ายยังเขียนแผนที่ที่อยู่มาให้ด้วย และปล.ท้ายจดหมายว่า”ทุกวันนี้ผมยังดื่มนมตรามะลิอยู่เลยครับ” ซึ่งตนก็เดินทางไปจับกุมผู้ต้องหาอย่างง่ายดาย
นอกจากนี้ ตำรวจกองปราบปราม ก็เคยใช้เทคนิคส่งจดหมายให้คนร้ายตามหมายจับคดีสำคัญมารับพัสดุ ที่ไปรษณีย์ และรอจับจับกุมมาดำเนินคดีได้อย่างสบาย
ด้าน พ.ต.ท.อุเทน นุ้ยพิน "สารวัตรนุ้ย" เจ้าของไอเดียใช้วิชาโจรจับโจร กล่าวว่า เทคนิคการจับกุมดังกล่าวมีสอนอยู่ในโรงเรียนนักสืบมานาน ซึ่งนักสืบรุ่นใหม่มองว่าโบราณ ไม่ทันสมัยเหมือนการ เช็คเบส โทรศัพท์ค้นหาพื้นที่ที่คนร้ายกบดาน แต่ตนใช้เทคนิคนี้ได้ผลมานักต่อนัก จับผู้ต้องหามาแล้วหลายราย
สารวัตรนุ้ย เปิดเผยกับทีมข่าวว่า การสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับเป็นภารกิจหลักอย่างหนึ่งของ "กองสืบ" อยู่แล้ว ในช่วงเทศกาลแต่ละเทศกาล แต่ละหน่วยงานก็มีภารกิจที่ต้องระดมกันทำไป ทางผู้บัญชาการก็ได้เรียกประชุม และกำชับกองสืบแต่ละกองให้เร่งรัดการจับกุมคดีค้างเก่า เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่เพิ่งจะยกระดับฐานะขึ้นมาเป็นกองบังคับการ โดยให้พยายามหาวิธีกลยุทธต่างๆที่พอจะมีอยู่ เอาออกมาใช้ให้หมดไม่ว่าจะเป็นของเก่าของใหม่
สำหรับกองสืบของ "สารวัตรนุ้ย" มีหมายจับคนร้ายในแต่ละจังหวัดที่อยู่เยอะมาก สารวัตรก็เลยเอาออกมาวิเคราะห์ทีละหมาย ถ้าเป็น "หมายตาย" คือผู้ต้องหาตามหมายจับนั้นตายไปแล้ว ก็ถอนหมายออกไป ส่วนที่ยังอยู่ก็สืบสวนจับกุมต่อไป โดยอย่างแรกที่ต้องทำเลยคือ ตัวคนร้ายยังใช้ชีวิตอยู่เหมือนปกติหรือไม่ มีการทำบัตรประชาชน หรือทำใบขับขี่หรือไม่ บางคนไม่ไปทำบัตรประชาชน แต่ไปทำใบขับขี่แทน หรือแม้กระทั่งไปทำพาสปอร์ต เพราะสองสิ่งนี้ใช้แทนบัตรประชาชนได้ ถ้ามีการเคลื่อนไหวเหล่านี้ ก็ต้องทำการสืบสวนจับกุม
ปัจจุบันได้เน้นตามจับกุมจากการตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์มือถือ หรือระบบการเงิน แต่สำหรับคนร้ายบางประเภทใช้วิธีนี้ไม่ได้ คนร้ายบางคนไม่ได้มีมือถือจดทะเบียน หรือมีเงินทองอะไรมากมาย และคนร้ายแต่ละคนมักจะไม่พักอาศัยอยู่ตามภูมิลำเนา บ้านอยู่จังหวัดหนึ่ง ตัวอาจจะอยู่อีกจังหวัดหนึ่งก็ได้ การที่จะเอากำลังตำรวจวิ่งไปตามจับนั้น มันก็เป็นภาระเปลืองงบประมาณกับบางคดีที่คนอื่นอาจมองว่าเป็นคดีเล็กๆ เช่นลักทรัพย์ พรากผู้เยาว์ ฯลฯ แต่สำหรับกองสืบของเราไม่ได้มองคดีเหล่านี้เป็นคดีเล็ก เพราะหากทุกคนคิดว่าเป็นคดีเล็ก อาชญกรก็เต็มบ้านเมืองแน่นอน ก็เลยต้องหาวิธีตามจับพวกคนร้ายประเภทนี้ ซึ่งมีกลยุทธอยู่หลายวิธีด้วยกัน
หนึ่งในนั้นคือ การส่งจดหมายหลอกให้มารับของขวัญ ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะได้รับรู้วิธีนี้มาจากการอบรมหลักสูตรสืบสวนของ FBI และในตอนนี้สหรัฐอเมริกาก็ใช้วิธีนี้กันอยู่ แต่ปัจจุบันนักสืบเราอาจจะลืมไปแล้ว และไปเน้นกับการสืบสวนสมัยใหม่
สารวัตรนุ้ย เปิดเผยถึงวิธีการจับกุมคนร้ายด้วยวิธีนี้ว่า พอตรวจสอบเจอว่าตัวคนร้ายพักอยู่ที่ไหนก็ส่งจดหมายไป อาจจะไม่ได้ส่งไปตามผู้ต้องหาโดยตรง แต่จะส่งไปให้พ่อแม่ ลูกเมีย แทน โดยเนื้อหาใจความในจดหมายก็มีอยู่ว่า "ช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ทางบริษัทจะสมนาคุณท่านลูกค้า และท่านคือผู้โชคดีจากการสุ่มหมายเลขโทรศัพท์และเลขบัตรประชาชน 13 หลัก ให้รีบติดต่อมารับเครื่องใช้ไฟฟ้าเช่น ทีวี ดีวีดี ตู้เย็นหรือชุดโฮมเธียร์เตอร์ มูลค่า 2- 3 หมื่น บาท หรือเงินพ็อกเก็ตมันนี่ 8,000 บาท เพียงส่งจดหมายมายืนยันพร้อมทั้งแจ้งที่อยู่ปัจจุบันและหมายเลขโทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้กลับมาก่อน มิเช่นนั้นจะถือว่าสละสิทธิ์ ทั้งนี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด โดยให้รับของด้วยตนเองภายในวันที่ 24 ธันวาคม 2552 ที่ห้างเจ.เจ.มอลล์ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม."
สารวัตรนุ้ย บอกกับเราด้วยว่า เนื้อหาในจดหมายนั้น จะไม่เน้นเรื่องการรับรางวัลอย่างเดียว จะมีเนื้อหาอื่นแทรกไปเหมือนแบบสอบถามของบริษัทใช้เครื่องไฟฟ้าทั่วไปด้วย เพื่อให้ดูเหมือนจริงมากที่สุด หลังจากคนร้ายตอบกลับมา ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ไปตามจับทันที แต่มันก็อาจจะใช้งบประมาณพอสมควรกับสมัยนี้ที่ต้องบริหารจัดการ เลยลองดูว่า ถ้าเชิญตัวเขามาจะมาหรือไม่
ล่าสุดเมื่อช่วงต้นเดือนธ.ค.นี้เอง "สารวัตรนุ้ย" ส่งจดหมายฉบับนี้ไปกว่า 80 ฉบับ ผ่านไป 10 กว่าวัน ได้รับการตอบรับกลับมาถึงครึ่งหนึ่ง และพวกที่ยอมมาตามคำเชิญ ก็คือ 14 คน ตามที่ได้แถลงข่าวจับกุมไปเมื่อวันที่ 24 ธ.ค.ที่ผ่านมา ส่วนคนร้ายที่ไม่มา ก็รู้แล้วว่าอยู่ที่ไหน ซึ่งสารวัตรนุ้ยก็ได้ส่งลูกน้องไปติดตามจับกุมตัวแล้ว
อย่างไรก็ตามวิธีนี้ สารวัตรนุ้ย ก็ทำมานานแล้วตั้งแต่สมัยยังเป็น ร.ต.ท. หรือประมาณสิบปีก่อน และถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง เพราะตั้งแต่ย้ายมาสังกัด บช.ภ.1 ก็สามารถจับคนร้ายด้วยวิธีนี้มาแล้วเป็น100 คนแต่ไม่มีใครรู้ว่าใช้วิธีไหน เพื่อนตำรวจด้วยกันก็ไม่รู้ บางคนถามว่าจับได้อย่างไร ก็มักจะตอบติดตลกๆ ไปว่า เป็น"เงาะป่า" มีมนต์เรียกเนื้อเรียกปลาได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นความลับมาตลอดจนกระทั่งเมื่อวันที่ 24 ธ.ค.ที่มีการแถลงข่าวนั้น ตัวผู้ต้องหาเยอะมาก ผู้สื่อข่าวก็ไปถามตัวผู้ต้องหาว่า มากันได้อย่างไร ทำไมถึงถูกจับพร้อมกันเลย ก็ปรากฏว่า ผู้ต้องหาพูดหมด
ทีมข่าวถาม สารวัตรนุ้ย ด้วยว่า เกรงว่าวิธีนี้จะไม่สบความสำเร็จหรือไม่ เพราะบางครั้งเคยมีบริษัทขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่งจดหมายให้มารับรางวัลทำนองนี้ แต่เมื่อไปถึงกลับกลายเป็นต้องสินค้าชิ้นอื่นก่อน ถึงจะได้รับรางวัล สารวัตรนุ้ย บอกว่า เรื่องนี้ไม่ท้อ ถ้าส่งไปแล้วไม่ตอบกลับมาเลยก็ไม่เป็นไร เพียง 15 บาทต่อคน ไม่สิ้นเปลือง ไม่ประสบความสำเร็จก็ไม่เป็นไร เพียงแต่คนร้ายที่ส่งจดหมายไปแล้วไม่ตอบกลับมา ก็จะบันทึกเป็นข้อมูลไว้ว่าใช้วิธีนี้ไปแล้วไม่ได้ผล ซึ่งอาจจะเป็นเพราะ คนร้ายไม่ได้อยู่ที่บ้าน หรือ ได้รับจดหมายแล้วแต่มีความปราดเปรียว ระมัดระวังตัวมาก
ทีมข่าวไม่ลืมคำถามสำคัญที่หลายต่อหลายคนสงสัยว่า เมื่อเปิดเผยกลยุทธแบบนี้แล้ว อาจจะทำให้ไม่สามารถจับกุมคนร้ายด้วยวิธีนี้ได้อีก สารวัตรนุ้ย ตอบอย่างมั่นใจ โดยยกเอาคดีหลอกคืนเงินภาษีขึ้นมาให้ฟังว่า ขนาดสื่อมวลชน องค์กรภาครัฐ ช่วยกันประชาสัมพันธ์กันนานหลายต่อหลายเดือน แต่ทำไมยังมีคนถูกหลอก ยังมีคนเชื่อว่ามีการคืนเงินภาษีตามวิธีของคนร้ายจริง
นั่นก็เป็นเพราะพื้นฐานของ "คน" ยังมีความ "โลภ" อยู่ และบางคนก็ไม่สนใจจะรับรู้ข้อมูลอะไรด้วย มุมมองของนักสืบบางท่านอาจจะมองว่า วิธีการนี้เปิดเผยไม่ได้ เดี๋ยวโจรมันรู้ แต่โดยส่วนตัวแล้วคิดว่า ถ้าไม่เปิดเผยเลย ตำรวจก็ไม่รู้เช่นกัน จริงอยู่ที่หากสื่อมวลชนนำเสนอข้อมูลไปแล้ว คนร้ายบางคนอาจจะรู้ แต่อย่างน้อยประชาชนก็รู้ว่า ตำรวจทำงานอยู่ตลอดนะ เพราะทำมานานแล้ว แต่สื่อหรือประชาชนไม่รู้ และก็ไม่ได้อยากดังอะไร เพราะหากอยากดังคงประชาสัมพันธ์ไปนานแล้ว
สารวัตรนุ้ย บอกอีกว่า ที่มั่นใจก็เพราะอีกอย่างหนึ่งคือ คนร้ายก็มักจะไม่ค่อยดูข่าวอ่านข่าว หรือรายการโทรทัศน์ด้วย อย่างรายการข่าวตอนเช้า พวกคนร้ายคงไม่ตื่นมาดูตั้งแต่ 6 โมงเป็นแน่ พวกนี้มักจะเมา ตื่นสาย บางทีก็เมาแล้วไปก่อคดี ส่วนคนที่ดูข่าวส่วนใหญ่ก็จะเป็นสุจริตชน
"ถ้าถามว่า มั่นใจว่าจะจับคนร้ายด้วยวิธีนี้ได้อีกหรือไม่ ผมมั่นใจว่าทำได้อีก ช่วงหลังปีใหม่ถ้าใช้วิธีนี้ก็จับได้อีก เดี๋ยวจะทำให้ดู เพราะขนาดข่าวออกไปทางแล้ว บางคนยังติดต่อมาว่าจะมาหาวันเสาร์อีก" สารวัตรนุ้ย กล่าวทิ้งท้าย
เทคนิคการจับกุมครั้งนี้ถือว่าเป็นมุขเด็ดของนักสืบโบราณขนานแท้ ที่นักสืบรุ่นใหม่บางคนเห็นเป็นเทคนิคล้าสมัยและตกยุค แต่อย่าลืมว่ากลวิธีดังกล่าวยังสามารถนำมาใช้ได้เสมอในยามที่มนุษย์เรายังมีนิสัยละโมบโลภมาก
ไม่นานมานี้มีเรื่องราวฮือฮาเกิดขึ้นเมื่อ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ภาค 1 จับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีโดยใช้วิธีส่งจดหมายหลอกให้คนร้ายมารับรางวัล ไม่ต้องเดินทางไปจับกุมให้เปลืองเวลา ลงทุนค่าสแตมป์แปะมุมขวาหน้าซองจดหมายไม่กี่บาท แล้วนั่งกระดิกเท้ารอแล้วผู้ต้องหาตามหมายจับคดีค้างเก่าก็เดินมาให้รวบโดยละม่อม เหมือนสังข์ทองร่ายมนต์เรียกปลายังไงยังงั้น
ใกล้ช่วงเทศการปีใหม่หลายคนนิยมส่ง สคส.หรือของขวัญให้คนพิเศษซึ่งมีทั้งเพื่อนสนิทมิตรสหาย หรือผู้ใหญ่ที่เคารพรักแต่ พ.ต.ท.อุเทน นุ้ยพิน สารวัตร กองกำกับการสืบสวนสอบสวน 3 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ( สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.ภ.1 ) กลับนำแฟ้มรายชื่อผู้ต้องหาคดีค้างเก่าที่ฝุ่นจับเขลอะของตำรวจภาค 1 มาตรวจสอบ พบยังมีผู้ต้องหาที่หลบหนีหลายราย ก่อนงัดวิชาการสืบสวนจากอดีตนักสืบรุ่นก่อนร่อนจดหมายกว่า 100 ฉบับ ไปยังบรรดาผู้ต้องหาหนีอาญาแผ่นดิน
เอกสารขนาดเอ 4 ระบุว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ทางบริษัทจะสมนาคุณท่านลูกค้า และท่านคือผู้โชคดีจากการสุ่มหมายเลขโทรศัพท์และเลขบัตรประชาชน 13 หลัก ให้รีบติดต่อมารับเครื่องใช้ไฟฟ้าเช่น ทีวี ดีวีดี ตู้เย็นหรือชุดโฮมเธียร์เตอร์ มูลค่า 2- 3 หมื่น บาท หรือเงินพ็อกเก็ตมันนี่ 8,000 บาท เพียงส่งจดหมายมายืนยันพร้อมทั้งแจ้งที่อยู่ปัจจุบันและหมายเลขโทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้กลับมาก่อนมิเช่นนั้นจะถือว่าสละสิทธิ์ ทั้งนี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด โดยให้รับของด้วยตนเองภายในวันที่ 24 ธันวาคม 2552 ที่ห้างเจ.เจ.มอลล์ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม.ไม่นานมีผู้ตอบรับมาประมาณ 30 ราย
เช้าวันที่ 24 ธันวาคม ที่ห้างเจ.เจ.มอลล์ต่างคึกคักไปด้วยบรรดาเหล่าร้ายที่มีหมายจับศาลติดตัว บางรายหยิบยืมเงินเหมารถมารับเครื่องใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีเพื่อนๆและญาติมิตรเดินทางมาร่วมแสดงความยินดีด้วย จากนั้นเข้าไปรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปลอมตัวเป็นพนักงานบริษัท ตั้งโต๊ะตรวจสอบรายชื่อผู้ที่เดินทางมา และทำทีให้กรอกแบบฟอร์ม ก่อนให้เข้าไปในห้องทีละราย
เหล่าร้ายที่คิดว่าตัวเองโชคดีดวงเฮง รับปีใหม่ แทบหงายหลัง เมื่อเจ้าหน้าที่ยื่นหมายจับออกมาให้ดู ก่อนพาไปสอบสวนที่ภาค 1 จากนั้นนำตัวมาให้ พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผบช.ภ.1 พร้อมด้วย พล.ต.ต.ปิยะ สอนตระกูล รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.ธัชชัย หงษ์ทอง ผบก.สส.ภ.1 แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน รวม 14 รายประกอบด้วย นายธีรยุทธ เจริญสูงเนิน อายุ 23 ปี คดีพรากเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดา เพื่ออนาจารและกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี นางสมพอ อังกะโทก อายุ 61 ปี ข้อหาร่วมกันจัดหางานให้คนงานไปทำงานในต่างประเทศ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนกลางฯ น.ส.ทัศนีย์ เรืองศรี อายุ 25 ปี ผู้ต้องหาคดีไม่จ่ายค่าแรง ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานตรวจงานตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน นายปัญญา สุขสุฤทธิ์ อายุ 25 ปี ข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ นายวีระพงษ์ คาดพันธ์โน อายุ 26 ปี ข้อหากระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี นายไกสวัสดิ์ แก้วพร อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาคดีข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นที่มิใช่ภรรยาของตน
นายพันศักดิ์ ศรีเพ็ง อายุ 25 ปี ตามหมายจับคดีพรากเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดา เพื่ออนาจารและกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี นายกฤษฎา ตนกลาย อายุ 21 ปี ข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนหรือรับของโจร นายวิทูนย์ หาญโก่ย อายุ 27 ปี ตามหมายจับคดีพรากเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดา เพื่ออนาจาร และ นายชัยชนะ ทองสงคราม อายุ 44 ปี ข้อหาข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย
นายเมืองนนท์ มาน้อย อายุ 26 ปี ข้อหา พรากเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดา นายสุขสันต์ ทองคำ อายุ 22 ปี ข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี และพรากผู้เยาว์ นายอานนท์ เทียนบูชา อายุ 30 ปี ข้อหาลัหทรัพย์ในเวลากลางคืน และนายถนอม พวงศิริ อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะ
“ตอนนั้นผมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ไม่คิดว่าตัวเองจะโชคดีขนาดนี้ เลยนำเอกสารหลักฐานรีบเดินทางเข้ามาติดต่อเพื่อรับของรางวัลที่ห้างเจเจมอลล์ พอเข้ามาติดต่อก็ถูกตำรวจแสดงตัวจับกุม แล้วแจ้งข้อหา ควบคุมตัวไว้ ซึ่งผมก็คิดไม่ถึงว่าตำรวจจะมีอุบายหลอกได้ถึงขนาดนี้ ต้องยอมจริงๆ” นายธีรยุทธ เจริญสูงเนิน กล่าวด้วยสีหน้าเซ็งๆ
เขาบอกอีกว่าในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ได้เดินทางมาทำงานรับจ้างทั่วไปใน จ.นนทบุรี หลังจากที่ก่อคดีแล้วก็หนี กลับบ้านเกิด กระทั่งเมื่อประมาณ 2 อาทิตย์ก่อน ก็ได้รับจดหมายว่า เป็นผู้โชคดีได้รับโทรทัศน์สี 32 นิ้ว จึงเดินทางมารับและถูกจับกุมดังกล่าว
ส่วน นางสมพอ อังกระโทก คุณยายวัย 61 พูดกับนักข่าวด้วยสีหน้าละห้อยว่า
“หนีคดีมาเกือบ 6 ปี แล้วมาโดนจับจนได้ ยายรู้สึกเสียใจที่เสียท่าตำรวจในครั้งนี้ เนื่องจากเชื่ออย่างสนิทใจว่าจะได้รับรางวัลจริงๆ อย่างไรก็ตามต้องขอชมเชยความคิดในการจับผู้ต้องหาครั้งนี้ และอยากจะให้รางวัลตำรวจที่คิดไอเดียหลอกผู้ต้องหามาให้จับได้อย่างง่ายดาย ”
อย่างไรก็ตามทราบกันดีว่านักสืบรุ่นเก่าๆก็ใช้มุขส่งจดหมายให้คนร้ายมารับรางวัลแล้วหลายราย โดย พล.ต.ต.วินัย ทองสอง รอง ผบช.ก. เปิดเผยว่าสมัยที่ดำรงตำแหน่งเป็น รอง สว.สส.สน.ปทุมวัน เมื่อปี 2526 มีคดีสามีฆ่าภรรยาตาย ซึ่งผู้ต้องหาหลบหนีการจับกุมมาตลอด จึงออกอุบายทำทีส่งจดหมายไปยังบ้านพักของผู้ต้องหา แจ้งว่าคุณคือผู้โชคดีถูกรางวัลของบริษัทนมตรามะลิ เป็นทองคำหนัก 20 บาท แต่ต้องแจ้งที่อยู่ปัจจุบันมาให้ทราบ ไม่กี่วันคนร้ายได้เขียนจดหมายตอบมาว่า ตนเองไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนั้นแล้ว ตอนนี้มาทำงานอยู่ที่พระประแดง จ.สมุทรปราการ นอกจากนี้คนร้ายยังเขียนแผนที่ที่อยู่มาให้ด้วย และปล.ท้ายจดหมายว่า”ทุกวันนี้ผมยังดื่มนมตรามะลิอยู่เลยครับ” ซึ่งตนก็เดินทางไปจับกุมผู้ต้องหาอย่างง่ายดาย
นอกจากนี้ ตำรวจกองปราบปราม ก็เคยใช้เทคนิคส่งจดหมายให้คนร้ายตามหมายจับคดีสำคัญมารับพัสดุ ที่ไปรษณีย์ และรอจับจับกุมมาดำเนินคดีได้อย่างสบาย
ด้าน พ.ต.ท.อุเทน นุ้ยพิน "สารวัตรนุ้ย" เจ้าของไอเดียใช้วิชาโจรจับโจร กล่าวว่า เทคนิคการจับกุมดังกล่าวมีสอนอยู่ในโรงเรียนนักสืบมานาน ซึ่งนักสืบรุ่นใหม่มองว่าโบราณ ไม่ทันสมัยเหมือนการ เช็คเบส โทรศัพท์ค้นหาพื้นที่ที่คนร้ายกบดาน แต่ตนใช้เทคนิคนี้ได้ผลมานักต่อนัก จับผู้ต้องหามาแล้วหลายราย
สารวัตรนุ้ย เปิดเผยกับทีมข่าวว่า การสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับเป็นภารกิจหลักอย่างหนึ่งของ "กองสืบ" อยู่แล้ว ในช่วงเทศกาลแต่ละเทศกาล แต่ละหน่วยงานก็มีภารกิจที่ต้องระดมกันทำไป ทางผู้บัญชาการก็ได้เรียกประชุม และกำชับกองสืบแต่ละกองให้เร่งรัดการจับกุมคดีค้างเก่า เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่เพิ่งจะยกระดับฐานะขึ้นมาเป็นกองบังคับการ โดยให้พยายามหาวิธีกลยุทธต่างๆที่พอจะมีอยู่ เอาออกมาใช้ให้หมดไม่ว่าจะเป็นของเก่าของใหม่
สำหรับกองสืบของ "สารวัตรนุ้ย" มีหมายจับคนร้ายในแต่ละจังหวัดที่อยู่เยอะมาก สารวัตรก็เลยเอาออกมาวิเคราะห์ทีละหมาย ถ้าเป็น "หมายตาย" คือผู้ต้องหาตามหมายจับนั้นตายไปแล้ว ก็ถอนหมายออกไป ส่วนที่ยังอยู่ก็สืบสวนจับกุมต่อไป โดยอย่างแรกที่ต้องทำเลยคือ ตัวคนร้ายยังใช้ชีวิตอยู่เหมือนปกติหรือไม่ มีการทำบัตรประชาชน หรือทำใบขับขี่หรือไม่ บางคนไม่ไปทำบัตรประชาชน แต่ไปทำใบขับขี่แทน หรือแม้กระทั่งไปทำพาสปอร์ต เพราะสองสิ่งนี้ใช้แทนบัตรประชาชนได้ ถ้ามีการเคลื่อนไหวเหล่านี้ ก็ต้องทำการสืบสวนจับกุม
ปัจจุบันได้เน้นตามจับกุมจากการตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์มือถือ หรือระบบการเงิน แต่สำหรับคนร้ายบางประเภทใช้วิธีนี้ไม่ได้ คนร้ายบางคนไม่ได้มีมือถือจดทะเบียน หรือมีเงินทองอะไรมากมาย และคนร้ายแต่ละคนมักจะไม่พักอาศัยอยู่ตามภูมิลำเนา บ้านอยู่จังหวัดหนึ่ง ตัวอาจจะอยู่อีกจังหวัดหนึ่งก็ได้ การที่จะเอากำลังตำรวจวิ่งไปตามจับนั้น มันก็เป็นภาระเปลืองงบประมาณกับบางคดีที่คนอื่นอาจมองว่าเป็นคดีเล็กๆ เช่นลักทรัพย์ พรากผู้เยาว์ ฯลฯ แต่สำหรับกองสืบของเราไม่ได้มองคดีเหล่านี้เป็นคดีเล็ก เพราะหากทุกคนคิดว่าเป็นคดีเล็ก อาชญกรก็เต็มบ้านเมืองแน่นอน ก็เลยต้องหาวิธีตามจับพวกคนร้ายประเภทนี้ ซึ่งมีกลยุทธอยู่หลายวิธีด้วยกัน
หนึ่งในนั้นคือ การส่งจดหมายหลอกให้มารับของขวัญ ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะได้รับรู้วิธีนี้มาจากการอบรมหลักสูตรสืบสวนของ FBI และในตอนนี้สหรัฐอเมริกาก็ใช้วิธีนี้กันอยู่ แต่ปัจจุบันนักสืบเราอาจจะลืมไปแล้ว และไปเน้นกับการสืบสวนสมัยใหม่
สารวัตรนุ้ย เปิดเผยถึงวิธีการจับกุมคนร้ายด้วยวิธีนี้ว่า พอตรวจสอบเจอว่าตัวคนร้ายพักอยู่ที่ไหนก็ส่งจดหมายไป อาจจะไม่ได้ส่งไปตามผู้ต้องหาโดยตรง แต่จะส่งไปให้พ่อแม่ ลูกเมีย แทน โดยเนื้อหาใจความในจดหมายก็มีอยู่ว่า "ช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ทางบริษัทจะสมนาคุณท่านลูกค้า และท่านคือผู้โชคดีจากการสุ่มหมายเลขโทรศัพท์และเลขบัตรประชาชน 13 หลัก ให้รีบติดต่อมารับเครื่องใช้ไฟฟ้าเช่น ทีวี ดีวีดี ตู้เย็นหรือชุดโฮมเธียร์เตอร์ มูลค่า 2- 3 หมื่น บาท หรือเงินพ็อกเก็ตมันนี่ 8,000 บาท เพียงส่งจดหมายมายืนยันพร้อมทั้งแจ้งที่อยู่ปัจจุบันและหมายเลขโทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้กลับมาก่อน มิเช่นนั้นจะถือว่าสละสิทธิ์ ทั้งนี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด โดยให้รับของด้วยตนเองภายในวันที่ 24 ธันวาคม 2552 ที่ห้างเจ.เจ.มอลล์ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม."
สารวัตรนุ้ย บอกกับเราด้วยว่า เนื้อหาในจดหมายนั้น จะไม่เน้นเรื่องการรับรางวัลอย่างเดียว จะมีเนื้อหาอื่นแทรกไปเหมือนแบบสอบถามของบริษัทใช้เครื่องไฟฟ้าทั่วไปด้วย เพื่อให้ดูเหมือนจริงมากที่สุด หลังจากคนร้ายตอบกลับมา ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ไปตามจับทันที แต่มันก็อาจจะใช้งบประมาณพอสมควรกับสมัยนี้ที่ต้องบริหารจัดการ เลยลองดูว่า ถ้าเชิญตัวเขามาจะมาหรือไม่
ล่าสุดเมื่อช่วงต้นเดือนธ.ค.นี้เอง "สารวัตรนุ้ย" ส่งจดหมายฉบับนี้ไปกว่า 80 ฉบับ ผ่านไป 10 กว่าวัน ได้รับการตอบรับกลับมาถึงครึ่งหนึ่ง และพวกที่ยอมมาตามคำเชิญ ก็คือ 14 คน ตามที่ได้แถลงข่าวจับกุมไปเมื่อวันที่ 24 ธ.ค.ที่ผ่านมา ส่วนคนร้ายที่ไม่มา ก็รู้แล้วว่าอยู่ที่ไหน ซึ่งสารวัตรนุ้ยก็ได้ส่งลูกน้องไปติดตามจับกุมตัวแล้ว
อย่างไรก็ตามวิธีนี้ สารวัตรนุ้ย ก็ทำมานานแล้วตั้งแต่สมัยยังเป็น ร.ต.ท. หรือประมาณสิบปีก่อน และถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง เพราะตั้งแต่ย้ายมาสังกัด บช.ภ.1 ก็สามารถจับคนร้ายด้วยวิธีนี้มาแล้วเป็น100 คนแต่ไม่มีใครรู้ว่าใช้วิธีไหน เพื่อนตำรวจด้วยกันก็ไม่รู้ บางคนถามว่าจับได้อย่างไร ก็มักจะตอบติดตลกๆ ไปว่า เป็น"เงาะป่า" มีมนต์เรียกเนื้อเรียกปลาได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นความลับมาตลอดจนกระทั่งเมื่อวันที่ 24 ธ.ค.ที่มีการแถลงข่าวนั้น ตัวผู้ต้องหาเยอะมาก ผู้สื่อข่าวก็ไปถามตัวผู้ต้องหาว่า มากันได้อย่างไร ทำไมถึงถูกจับพร้อมกันเลย ก็ปรากฏว่า ผู้ต้องหาพูดหมด
ทีมข่าวถาม สารวัตรนุ้ย ด้วยว่า เกรงว่าวิธีนี้จะไม่สบความสำเร็จหรือไม่ เพราะบางครั้งเคยมีบริษัทขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่งจดหมายให้มารับรางวัลทำนองนี้ แต่เมื่อไปถึงกลับกลายเป็นต้องสินค้าชิ้นอื่นก่อน ถึงจะได้รับรางวัล สารวัตรนุ้ย บอกว่า เรื่องนี้ไม่ท้อ ถ้าส่งไปแล้วไม่ตอบกลับมาเลยก็ไม่เป็นไร เพียง 15 บาทต่อคน ไม่สิ้นเปลือง ไม่ประสบความสำเร็จก็ไม่เป็นไร เพียงแต่คนร้ายที่ส่งจดหมายไปแล้วไม่ตอบกลับมา ก็จะบันทึกเป็นข้อมูลไว้ว่าใช้วิธีนี้ไปแล้วไม่ได้ผล ซึ่งอาจจะเป็นเพราะ คนร้ายไม่ได้อยู่ที่บ้าน หรือ ได้รับจดหมายแล้วแต่มีความปราดเปรียว ระมัดระวังตัวมาก
ทีมข่าวไม่ลืมคำถามสำคัญที่หลายต่อหลายคนสงสัยว่า เมื่อเปิดเผยกลยุทธแบบนี้แล้ว อาจจะทำให้ไม่สามารถจับกุมคนร้ายด้วยวิธีนี้ได้อีก สารวัตรนุ้ย ตอบอย่างมั่นใจ โดยยกเอาคดีหลอกคืนเงินภาษีขึ้นมาให้ฟังว่า ขนาดสื่อมวลชน องค์กรภาครัฐ ช่วยกันประชาสัมพันธ์กันนานหลายต่อหลายเดือน แต่ทำไมยังมีคนถูกหลอก ยังมีคนเชื่อว่ามีการคืนเงินภาษีตามวิธีของคนร้ายจริง
นั่นก็เป็นเพราะพื้นฐานของ "คน" ยังมีความ "โลภ" อยู่ และบางคนก็ไม่สนใจจะรับรู้ข้อมูลอะไรด้วย มุมมองของนักสืบบางท่านอาจจะมองว่า วิธีการนี้เปิดเผยไม่ได้ เดี๋ยวโจรมันรู้ แต่โดยส่วนตัวแล้วคิดว่า ถ้าไม่เปิดเผยเลย ตำรวจก็ไม่รู้เช่นกัน จริงอยู่ที่หากสื่อมวลชนนำเสนอข้อมูลไปแล้ว คนร้ายบางคนอาจจะรู้ แต่อย่างน้อยประชาชนก็รู้ว่า ตำรวจทำงานอยู่ตลอดนะ เพราะทำมานานแล้ว แต่สื่อหรือประชาชนไม่รู้ และก็ไม่ได้อยากดังอะไร เพราะหากอยากดังคงประชาสัมพันธ์ไปนานแล้ว
สารวัตรนุ้ย บอกอีกว่า ที่มั่นใจก็เพราะอีกอย่างหนึ่งคือ คนร้ายก็มักจะไม่ค่อยดูข่าวอ่านข่าว หรือรายการโทรทัศน์ด้วย อย่างรายการข่าวตอนเช้า พวกคนร้ายคงไม่ตื่นมาดูตั้งแต่ 6 โมงเป็นแน่ พวกนี้มักจะเมา ตื่นสาย บางทีก็เมาแล้วไปก่อคดี ส่วนคนที่ดูข่าวส่วนใหญ่ก็จะเป็นสุจริตชน
"ถ้าถามว่า มั่นใจว่าจะจับคนร้ายด้วยวิธีนี้ได้อีกหรือไม่ ผมมั่นใจว่าทำได้อีก ช่วงหลังปีใหม่ถ้าใช้วิธีนี้ก็จับได้อีก เดี๋ยวจะทำให้ดู เพราะขนาดข่าวออกไปทางแล้ว บางคนยังติดต่อมาว่าจะมาหาวันเสาร์อีก" สารวัตรนุ้ย กล่าวทิ้งท้าย
เทคนิคการจับกุมครั้งนี้ถือว่าเป็นมุขเด็ดของนักสืบโบราณขนานแท้ ที่นักสืบรุ่นใหม่บางคนเห็นเป็นเทคนิคล้าสมัยและตกยุค แต่อย่าลืมว่ากลวิธีดังกล่าวยังสามารถนำมาใช้ได้เสมอในยามที่มนุษย์เรายังมีนิสัยละโมบโลภมาก