ปิดฉากได้อย่างสวยงามสำหรับคดีอุ้มนักธุรกิจชาวไต้หวันและครอบครัวรวม 5 คน ไปเรียกค่าไถ่เป็นจำนวนเงิน 30 ล้านบาท ของตำรวจกองปราบปรามภายใต้การนำของ พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รักษาการ ผู้บังคับการกองปราบปราม และ พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผู้กำกับการ 1 กองปราบปราม
ย้อนไปก่อนหน้านี้ นายเติ้น ลี่ เหวย หนุ่มใหญ่วัย 35 ปี เจ้าของโรงงานทอผ้าในไต้หวัน สนใจลงทุนเปิดโรงงานทอผ้าในประเทศไทย จึงขอคำแนะนำจาก นายซู ยู ถิง เพื่อนรักวัยเดียวกัน
นายซู ยู ถิง จึงติดต่อกลุ่มเพื่อนชาวไต้หวันที่ลงหลักปักฐานในเมืองไทยมานาน กระทั่งกลางเดือนพฤศจิกายน นายเติ้น ลี่ เหวย ตัดสินใจขนสัมภาระขึ้นเครื่องบินเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลจากบ้านเกิดเมืองนอนมาดูลู่ทางทำมาหากินหวังขุดทองในต่างถิ่น
แต่เขาหารู้ไม่ว่าเพื่อนรักที่ไว้วางใจ กำลังคิดร้ายต่อเขา โดยนายซู ยู ถิง ได้วางแผนกับกลุ่มเพื่อนชาวไทยและไต้หวันจับเขาเป็นตัวประกันเรียกค่าไถ่ เพราะทราบดีว่า นายเติ้น ลี่ เหวย ถือเป็นเศรษฐีเงินถุงเงินถังคนหนึ่ง
ทันทีที่เท้าเหยียบสนามบินสุวรรณภูมิ ก็พบกลุ่มเพื่อน นายซู ยู ถิง มารับถึงสนามบิน จากนั้นทั้งหมดได้เป็นธุระจัดหาพี่พัก โดยเช่าทาวเฮาส์ 3 ชั้น เลขที่ 1471/20 ถนนพัฒนาการ ซอย 31/1 แขวงพัฒนาการ เขตสวนหลวง กทม.พักผ่นไปพลางๆระหว่างหาที่หาช่องทางสร้างโรงงานทอผ้า
24 พฤศจิกายน นางสี อี้ เฟิน วัย 36 ปี อดีตนางแบบชื่อดังเมืองไต้หวัน ภรรยา พร้อม ด.ญ.เติ้น อี้ แจ้ วัย 9 ขวบ ด.ช.เติ้น อี้ ถิง วัย 7 ปี บุตรสาวและบุตรชาย และนางหย่วน อี้ อิง อายุ 57 ปี มารดา นายเติ้น ลี่ เหวย บินมาสมทบพร้อมทั้งถือโอกาสพักผ่อนหย่อนใจไปในตัว
เมื่อมาถึงมี นายศราวุธ แซ่หยาง อายุ 23 ปี ชาวไทย นายเฉิน จื้อ เหวิ่น อายุ 23 ปี นายจาง จา หลุน หรือต้าเกอ อายุ 30 ปี ทั้งสองเป็นชาวไต้หวัน เข้าไปพบเหยื่อก่อนอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย ตำรวจไต้หวันและตำรวจจีน จากนั้น พาตัวเหยื่อทั้ง 4 มาพันธนาการโดยใช้โซ่มัด กักขังไว้บริเวณชั้น 2 ภายในทาวเฮาส์ ของ นายเติ้น ลี่ เหวย
ส่วนเจ้าตัวถูก นายชิงฉาง แซ่หลี อายุ 26 ปี ชาวไทย บังคับใส่กุญแจมือ พาไปควบคุมตัวไว้ที่ ทาวเฮ้าส์ เลขที่ 59/169 หมู่บ้านกลางเมือง ถนนศรีนครินทร์ ต.บางแก้ว อ.เมือง จ.สมุทรปราการ พร้อมทั้งให้โทรศัพท์ติดต่อญาติที่ไต้หวันโอนเงินมาจ่ายค่าไถ่จำนวน 30 ล้านบาท ไม่เช่นนั้นจะไม่รับรองความปลอดภัยของครอบครัวทั้งหมด
ระหว่างนั้น นายซู ยู ถิง ซึ่งมีความสนิทสนมกับครอบครัวเหยื่อได้ข่มขู่บังคับให้ นางสี อี้ เฟิน ขึ้นเครื่องบินไปประเทศสิงคโปร์ด้วยกัน เพื่อติดต่อญาติเหยื่อที่อยู่ที่นั่น เพื่อโอนเงินค่าไถ่
ต่อมาญาติเหยื่อแก๊งเรียกค่าไถ่ได้แจ้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ เจ้าหน้าที่สถานกงสุลไต้หวัน ประจำประเทศไทย ทราบ กระทั่งสถานกงสุล ประสานมายัง พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ออกติดตามช่วยเหลือตัวประกัน จากนั้น พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ พร้อมด้วย พ.ต.ท.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ช่วยราชการ กก.1 บก.ป. พ.ต.ท.อดินันท์ ชัยนันท์ รอง ผกก.1 บก.ป.พ.ต.ต.พุทธพงศ์ เมฆเอี่ยมนภา พ.ต.ต.นิคม ชัยเจริญ พ.ต.ต.ศานุวงษ์ คงคาอินทร์ สว.กก.1 บก.ป.นำกำลังเข้าสืบสวน กระทั่งทราบว่า ด.ญ.เติ้น อี้ แจ้ ด.ช.เติ้น อี้ ถิงและนางหย่วน อี้ อิง ถูกคนร้ายจับไปขังใน ทาวเฮาส์ ย่านพัฒนาการ จึงขอหมายค้นศาลอาญาที่591/2552 ลงวันที่ 14 ธ.ค.52 ก่อนเข้าช่วยเหลือไว้ได้อย่างปลอดภัย โดยทั้งหมดมีท่าทีอิดโรยและอยู่ในอาการหวาดผวาอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัว นายศราวุธ แซ่หยาง อายุ 23 ปี ชาวไทย และนายเฉิน จื้อ เหวิ่น นายสมุทร หยาง หยิน อายุ 28 ปี และ นายจาง จา หลุน คนร้ายที่ควบคุมตัวเหยื่อไว้ได้ ภายในบ้านหลังดังกล่าว ส่วนนายจาง จา หลุน จับกุมได้ที่ริมถนนศรีนครินทร์ ใกล้แยกพัฒนาการ แขวงและเขตสวนหลวง กทม.
นางหย่วน อี้ อิง บอกกับเจ้าหน้าที่ด้วยสีหน้าอิดโรยแต่ซ่อนความดีใจว่า พวกตนถูกคนร้ายกักขังไม่ให้ออกไปไหน ห้ามเปิดผ้าม่าน ห้ามไม่ให้ยืนบริเวณประตูเกรงจะมีคนมาเห็น นอกจากนี้ระหว่างที่ถูกกักขังยังถูกข่มขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายหากไม่เชื่อฟังคำสั่ง
อย่างไรก็ตามกำลังอีกชุดได้เข้าช่วยเหลือ นายเติ้น ลี่ เหวย ที่ถูกจับขังที่ทาวเฮ้าส์ เลขที่ 59/169 หมู่บ้านกลางเมือง ถนนศรีนครินทร์ ต.บางแก้ว อ.เมือง จ.สมุทรปราการ พร้อมจับกุม นายชิงฉาง แซ่หลี ไว้ได้ จากนั้น ติดตามจับกุม นายอำพล แซ่หว่าง อายุ 20 ปี ซึ่งทำหน้าที่รับเงินค่าไถ่ที่เหยื่อโอนมาให้ ได้ที่ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาลาดพร้าว แขวงและเขตลาดพร้าว กทม.
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยึดซีพียูและจอคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค 2 ตัว เครื่องเล่นดีวีดี 1 เครื่อง เงินสด 1 หมื่นบาท กระเป๋าเดินทาง 4 ใบ หนังสือเดินทางไต้หวัน 3 เล่ม โทรศัพท์มือถือ 10 เครื่อง โซ่พร้อมแม่กุญแจ และอุปกรณ์การเล่นพนันอีกจำนวนหนึ่ง
ต่อมา พ.ต.อ.สุพิศาล ได้ประสานประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจสิงคโปร์เข้าช่วยเหลือ นางสี อี้ เฟิน ที่ถูก นายซู ยู ถิง จับไปเป็นตัวประกันที่สิงคโปร์ ซึ่งตำรวจสิงคโปร์สามารถช่วยเหลือ ภรรยา นายเติ้น ลี่ เหวย ได้อย่างปลอดภัย ส่วนนายซู ยู ถิง หลบหนีไปได้อย่างหวุดหวิด
จากนั้นตำรวจสิงคโปร์นำตัว นางสี อี้ เฟิน เดินทางกลับประเทศไทยด้วยสายการบินคาเธย์แปซิฟิค เที่ยวบินที่ CX 712 เมื่อเครื่องลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิ พ.ต.ต.ศานุวงศ์ คงคาอินทร์ สว.กก.1 บก.ป.พร้อมกำลัง ได้นำรถวิทยุสายตรวจ กองปราบปราม พร้อมกับรถตู้มารับตัว เพื่อสอบปากคำ เพิ่มเติม ทันทีที่ทั้งหมดได้เจอหน้ากันต่างโผเข้าสวมกอดกันกลมและน้ำตาแห่งความดีใจก็รินไหลหลั่งที่ทุกคนในครอบครัวปลอดภัย
นางสี อี้ เฟิน กล่าวผ่านล่ามว่าถูก นายซู ยู ถิง ข่มขู่บังคับให้ขึ้นเครื่องบินไปที่สิงคโปร์ด้วยกัน หากไม่ทำตามจะโทรศัพท์สั่งให้พรรคพวกทำร้ายสามีและลูกๆ จึงทำตามคำสั่งโดยให้ญาติโอนเงิน 4.2 แสนเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ ให้คนร้ายผ่านทางบริษัทรับแลกเปลี่ยนเงินตราแห่งหนึ่งในฮ่องกง เมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา เพื่อเป็นค่าไถ่ตัวสามีและลูก ๆ อย่างไรก็ตามครอบครัวตนต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทั้งไทยและสิงคโปร์ที่เข้าช่วยเหลือได้อย่างปลอดภัย
สอบสวน นายอำพล รับสารภาพว่าเป็นผู้รับเงินที่เหยื่อโอนมาให้ ส่วนนายศราวุธ และนายเฉิน จื๊อ เหวิ่น รับว่า ได้อ้างตัวเป็นตำรวจไทยและตำรวจไต้หวัน ก่อนลงมือลักพาตัวเหยื่อมากักขังไว้ ขณะที่ นายสมุทร และนายจาง จา หลุน ซึ่งอ้างตัวเป็นตำรวจจีน นั้น ปฏิเสธที่จะให้การใด ๆ
อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบประวัติของนายจาง จา หลุน พบว่าเคยต้องโทษคดียาเสพติดมาก่อนหน้านี้อีกด้วย ทั้งนี้ ชุดจับกุมได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน บก.ป.ดำเนินคดีข้อหาร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นและเอาตัวเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปหน่วงเหนี่ยวกักขังเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ พร้อมทั้งออกหมายจับ นายซู ยู ถิง ในข้อหาดังกล่าวแล้วเช่นกัน
“การเข้าช่วยเหลือผู้เสียหายครั้งนี้ซึ่งเป็นการปฏิบัติการที่สมบูรณ์แบบเพราะสามารถช่วยเหลือผู้เสียหายไว้ได้ทุกคนโดยทั้งหมดปลอดภัยดี อย่างไรก็ตามต้องขอขอบคุณในความร่วมมือของตำรวจสิงคโปร์และเจ้าหน้าที่ตำรวจไต้หวันประจำประเทศไทยด้วยที่ร่วมกันคลี่คลายคดีจนสำเร็จ” พ.ต.อ.สุพิศาล กล่าว
พ.ต.อ.สุพิศาล กล่าวอีกว่า คดีนี้ถือเป็นอาชญากรรมข้ามชาติอีกคดีที่คนร้ายก่อคดีในประเทศไทยแต่ก็เป็นคดีที่ได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานซึ่งเป็นนิมิตรหมายที่ดีในการที่จะได้ทำงานร่วมกันในอนาคต ตนยืนยันว่าจากนี้ไป กองปราบปรามจะทำงานในเชิงรุกและคงไม่ได้เป็นเพียงที่พึ่งสุดท้ายกับเฉพาะคนไทยเท่านั้น แต่จะเป็นที่พึ่งสุดท้ายของชาวต่างประเทศที่ถูกก่ออาชญากรรมในเมืองไทยอีกด้วย ซึ่งก็สามารถมาร้องทุกข์ ได้เช่นเดียวกัน
การจับกุมแก๊งคนร้ายเรียกค่าไถ่ครั้งนี้ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงชิ้นหนึ่งของกองปราบปรามที่เล็งเห็นความเดือดร้อนของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญเท่าเทียมกัน ไม่ว่าเขาจะเป็นคนไทยหรือแขกด่างด้าวท้าวต่างเมืองก็ตาม!
ย้อนไปก่อนหน้านี้ นายเติ้น ลี่ เหวย หนุ่มใหญ่วัย 35 ปี เจ้าของโรงงานทอผ้าในไต้หวัน สนใจลงทุนเปิดโรงงานทอผ้าในประเทศไทย จึงขอคำแนะนำจาก นายซู ยู ถิง เพื่อนรักวัยเดียวกัน
นายซู ยู ถิง จึงติดต่อกลุ่มเพื่อนชาวไต้หวันที่ลงหลักปักฐานในเมืองไทยมานาน กระทั่งกลางเดือนพฤศจิกายน นายเติ้น ลี่ เหวย ตัดสินใจขนสัมภาระขึ้นเครื่องบินเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลจากบ้านเกิดเมืองนอนมาดูลู่ทางทำมาหากินหวังขุดทองในต่างถิ่น
แต่เขาหารู้ไม่ว่าเพื่อนรักที่ไว้วางใจ กำลังคิดร้ายต่อเขา โดยนายซู ยู ถิง ได้วางแผนกับกลุ่มเพื่อนชาวไทยและไต้หวันจับเขาเป็นตัวประกันเรียกค่าไถ่ เพราะทราบดีว่า นายเติ้น ลี่ เหวย ถือเป็นเศรษฐีเงินถุงเงินถังคนหนึ่ง
ทันทีที่เท้าเหยียบสนามบินสุวรรณภูมิ ก็พบกลุ่มเพื่อน นายซู ยู ถิง มารับถึงสนามบิน จากนั้นทั้งหมดได้เป็นธุระจัดหาพี่พัก โดยเช่าทาวเฮาส์ 3 ชั้น เลขที่ 1471/20 ถนนพัฒนาการ ซอย 31/1 แขวงพัฒนาการ เขตสวนหลวง กทม.พักผ่นไปพลางๆระหว่างหาที่หาช่องทางสร้างโรงงานทอผ้า
24 พฤศจิกายน นางสี อี้ เฟิน วัย 36 ปี อดีตนางแบบชื่อดังเมืองไต้หวัน ภรรยา พร้อม ด.ญ.เติ้น อี้ แจ้ วัย 9 ขวบ ด.ช.เติ้น อี้ ถิง วัย 7 ปี บุตรสาวและบุตรชาย และนางหย่วน อี้ อิง อายุ 57 ปี มารดา นายเติ้น ลี่ เหวย บินมาสมทบพร้อมทั้งถือโอกาสพักผ่อนหย่อนใจไปในตัว
เมื่อมาถึงมี นายศราวุธ แซ่หยาง อายุ 23 ปี ชาวไทย นายเฉิน จื้อ เหวิ่น อายุ 23 ปี นายจาง จา หลุน หรือต้าเกอ อายุ 30 ปี ทั้งสองเป็นชาวไต้หวัน เข้าไปพบเหยื่อก่อนอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย ตำรวจไต้หวันและตำรวจจีน จากนั้น พาตัวเหยื่อทั้ง 4 มาพันธนาการโดยใช้โซ่มัด กักขังไว้บริเวณชั้น 2 ภายในทาวเฮาส์ ของ นายเติ้น ลี่ เหวย
ส่วนเจ้าตัวถูก นายชิงฉาง แซ่หลี อายุ 26 ปี ชาวไทย บังคับใส่กุญแจมือ พาไปควบคุมตัวไว้ที่ ทาวเฮ้าส์ เลขที่ 59/169 หมู่บ้านกลางเมือง ถนนศรีนครินทร์ ต.บางแก้ว อ.เมือง จ.สมุทรปราการ พร้อมทั้งให้โทรศัพท์ติดต่อญาติที่ไต้หวันโอนเงินมาจ่ายค่าไถ่จำนวน 30 ล้านบาท ไม่เช่นนั้นจะไม่รับรองความปลอดภัยของครอบครัวทั้งหมด
ระหว่างนั้น นายซู ยู ถิง ซึ่งมีความสนิทสนมกับครอบครัวเหยื่อได้ข่มขู่บังคับให้ นางสี อี้ เฟิน ขึ้นเครื่องบินไปประเทศสิงคโปร์ด้วยกัน เพื่อติดต่อญาติเหยื่อที่อยู่ที่นั่น เพื่อโอนเงินค่าไถ่
ต่อมาญาติเหยื่อแก๊งเรียกค่าไถ่ได้แจ้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ เจ้าหน้าที่สถานกงสุลไต้หวัน ประจำประเทศไทย ทราบ กระทั่งสถานกงสุล ประสานมายัง พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ออกติดตามช่วยเหลือตัวประกัน จากนั้น พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ พร้อมด้วย พ.ต.ท.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ช่วยราชการ กก.1 บก.ป. พ.ต.ท.อดินันท์ ชัยนันท์ รอง ผกก.1 บก.ป.พ.ต.ต.พุทธพงศ์ เมฆเอี่ยมนภา พ.ต.ต.นิคม ชัยเจริญ พ.ต.ต.ศานุวงษ์ คงคาอินทร์ สว.กก.1 บก.ป.นำกำลังเข้าสืบสวน กระทั่งทราบว่า ด.ญ.เติ้น อี้ แจ้ ด.ช.เติ้น อี้ ถิงและนางหย่วน อี้ อิง ถูกคนร้ายจับไปขังใน ทาวเฮาส์ ย่านพัฒนาการ จึงขอหมายค้นศาลอาญาที่591/2552 ลงวันที่ 14 ธ.ค.52 ก่อนเข้าช่วยเหลือไว้ได้อย่างปลอดภัย โดยทั้งหมดมีท่าทีอิดโรยและอยู่ในอาการหวาดผวาอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัว นายศราวุธ แซ่หยาง อายุ 23 ปี ชาวไทย และนายเฉิน จื้อ เหวิ่น นายสมุทร หยาง หยิน อายุ 28 ปี และ นายจาง จา หลุน คนร้ายที่ควบคุมตัวเหยื่อไว้ได้ ภายในบ้านหลังดังกล่าว ส่วนนายจาง จา หลุน จับกุมได้ที่ริมถนนศรีนครินทร์ ใกล้แยกพัฒนาการ แขวงและเขตสวนหลวง กทม.
นางหย่วน อี้ อิง บอกกับเจ้าหน้าที่ด้วยสีหน้าอิดโรยแต่ซ่อนความดีใจว่า พวกตนถูกคนร้ายกักขังไม่ให้ออกไปไหน ห้ามเปิดผ้าม่าน ห้ามไม่ให้ยืนบริเวณประตูเกรงจะมีคนมาเห็น นอกจากนี้ระหว่างที่ถูกกักขังยังถูกข่มขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายหากไม่เชื่อฟังคำสั่ง
อย่างไรก็ตามกำลังอีกชุดได้เข้าช่วยเหลือ นายเติ้น ลี่ เหวย ที่ถูกจับขังที่ทาวเฮ้าส์ เลขที่ 59/169 หมู่บ้านกลางเมือง ถนนศรีนครินทร์ ต.บางแก้ว อ.เมือง จ.สมุทรปราการ พร้อมจับกุม นายชิงฉาง แซ่หลี ไว้ได้ จากนั้น ติดตามจับกุม นายอำพล แซ่หว่าง อายุ 20 ปี ซึ่งทำหน้าที่รับเงินค่าไถ่ที่เหยื่อโอนมาให้ ได้ที่ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาลาดพร้าว แขวงและเขตลาดพร้าว กทม.
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยึดซีพียูและจอคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค 2 ตัว เครื่องเล่นดีวีดี 1 เครื่อง เงินสด 1 หมื่นบาท กระเป๋าเดินทาง 4 ใบ หนังสือเดินทางไต้หวัน 3 เล่ม โทรศัพท์มือถือ 10 เครื่อง โซ่พร้อมแม่กุญแจ และอุปกรณ์การเล่นพนันอีกจำนวนหนึ่ง
ต่อมา พ.ต.อ.สุพิศาล ได้ประสานประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจสิงคโปร์เข้าช่วยเหลือ นางสี อี้ เฟิน ที่ถูก นายซู ยู ถิง จับไปเป็นตัวประกันที่สิงคโปร์ ซึ่งตำรวจสิงคโปร์สามารถช่วยเหลือ ภรรยา นายเติ้น ลี่ เหวย ได้อย่างปลอดภัย ส่วนนายซู ยู ถิง หลบหนีไปได้อย่างหวุดหวิด
จากนั้นตำรวจสิงคโปร์นำตัว นางสี อี้ เฟิน เดินทางกลับประเทศไทยด้วยสายการบินคาเธย์แปซิฟิค เที่ยวบินที่ CX 712 เมื่อเครื่องลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิ พ.ต.ต.ศานุวงศ์ คงคาอินทร์ สว.กก.1 บก.ป.พร้อมกำลัง ได้นำรถวิทยุสายตรวจ กองปราบปราม พร้อมกับรถตู้มารับตัว เพื่อสอบปากคำ เพิ่มเติม ทันทีที่ทั้งหมดได้เจอหน้ากันต่างโผเข้าสวมกอดกันกลมและน้ำตาแห่งความดีใจก็รินไหลหลั่งที่ทุกคนในครอบครัวปลอดภัย
นางสี อี้ เฟิน กล่าวผ่านล่ามว่าถูก นายซู ยู ถิง ข่มขู่บังคับให้ขึ้นเครื่องบินไปที่สิงคโปร์ด้วยกัน หากไม่ทำตามจะโทรศัพท์สั่งให้พรรคพวกทำร้ายสามีและลูกๆ จึงทำตามคำสั่งโดยให้ญาติโอนเงิน 4.2 แสนเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ ให้คนร้ายผ่านทางบริษัทรับแลกเปลี่ยนเงินตราแห่งหนึ่งในฮ่องกง เมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา เพื่อเป็นค่าไถ่ตัวสามีและลูก ๆ อย่างไรก็ตามครอบครัวตนต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทั้งไทยและสิงคโปร์ที่เข้าช่วยเหลือได้อย่างปลอดภัย
สอบสวน นายอำพล รับสารภาพว่าเป็นผู้รับเงินที่เหยื่อโอนมาให้ ส่วนนายศราวุธ และนายเฉิน จื๊อ เหวิ่น รับว่า ได้อ้างตัวเป็นตำรวจไทยและตำรวจไต้หวัน ก่อนลงมือลักพาตัวเหยื่อมากักขังไว้ ขณะที่ นายสมุทร และนายจาง จา หลุน ซึ่งอ้างตัวเป็นตำรวจจีน นั้น ปฏิเสธที่จะให้การใด ๆ
อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบประวัติของนายจาง จา หลุน พบว่าเคยต้องโทษคดียาเสพติดมาก่อนหน้านี้อีกด้วย ทั้งนี้ ชุดจับกุมได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน บก.ป.ดำเนินคดีข้อหาร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นและเอาตัวเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปหน่วงเหนี่ยวกักขังเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ พร้อมทั้งออกหมายจับ นายซู ยู ถิง ในข้อหาดังกล่าวแล้วเช่นกัน
“การเข้าช่วยเหลือผู้เสียหายครั้งนี้ซึ่งเป็นการปฏิบัติการที่สมบูรณ์แบบเพราะสามารถช่วยเหลือผู้เสียหายไว้ได้ทุกคนโดยทั้งหมดปลอดภัยดี อย่างไรก็ตามต้องขอขอบคุณในความร่วมมือของตำรวจสิงคโปร์และเจ้าหน้าที่ตำรวจไต้หวันประจำประเทศไทยด้วยที่ร่วมกันคลี่คลายคดีจนสำเร็จ” พ.ต.อ.สุพิศาล กล่าว
พ.ต.อ.สุพิศาล กล่าวอีกว่า คดีนี้ถือเป็นอาชญากรรมข้ามชาติอีกคดีที่คนร้ายก่อคดีในประเทศไทยแต่ก็เป็นคดีที่ได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานซึ่งเป็นนิมิตรหมายที่ดีในการที่จะได้ทำงานร่วมกันในอนาคต ตนยืนยันว่าจากนี้ไป กองปราบปรามจะทำงานในเชิงรุกและคงไม่ได้เป็นเพียงที่พึ่งสุดท้ายกับเฉพาะคนไทยเท่านั้น แต่จะเป็นที่พึ่งสุดท้ายของชาวต่างประเทศที่ถูกก่ออาชญากรรมในเมืองไทยอีกด้วย ซึ่งก็สามารถมาร้องทุกข์ ได้เช่นเดียวกัน
การจับกุมแก๊งคนร้ายเรียกค่าไถ่ครั้งนี้ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงชิ้นหนึ่งของกองปราบปรามที่เล็งเห็นความเดือดร้อนของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญเท่าเทียมกัน ไม่ว่าเขาจะเป็นคนไทยหรือแขกด่างด้าวท้าวต่างเมืองก็ตาม!