หลายคนคงยังไม่ลืมเลือนภาพข่าวอาม่า"นางธนิดา ศรีสุวรรณ" วัย 60 ปี ที่นั่งอยู่บนโรงพัก เพชรเกษม พร้อมกับมีหยดเลือดเปอะเปื้อนบริเวณพื้นของโรงพักเพื่อประชาชน โดยมีตำรวจอัปยศ นามชื่อ"พ.ต.ต.อรรถวุฒิ กิจคาม" สวป.สภ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร คือคู่กรณี ที่ถูกตำรวจ สน.เพชรเกษม จับกุมได้หลังก่อเหตุ
แม้วันนั้น เขาจะอ้างว่าเป็นเหตุเข้าใจผิดตัวเองเพียงมาช่วย ส.ต.ท.ภาณุพันธ์ กิตติชัยเดช คู่กรณีนางธนิดา ไกล่เกลี่ยคดีบุกรุกที่บ้านเลขที่ 11/69 หมู่บ้านนาราศิริ ถนนกาญจนาภิเษก แขวงและเขตบางแค กทม. ก็ตามทีแต่เขาได้ถูกสังคมประนาม และประกันตัวสู่อิสระภาพ
เหตุการณ์อดสู สร้างรอยด่างให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากนับจากวันเกิดเหตุ 29 พฤศจิกายน 52 มาจนถึงวันที่ 19 ธันวาคม 52 ถือว่าครบ 20 วันเต็ม แต่คดีความกลับยังไม่มีอะไรคืบหน้า ผลสอบสวนเพื่อเอาผิดทางวินัย ผู้บังคับบัญชาก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจน ส่วนการดำเนินคดีอาญา ก็มีข่าวแว่วออกมาว่า ส่ออาจจะยอมความ ยุติเรื่องเอาแบบดื้อๆแม้หลังเกิดเหตุ นายยุทธนา กลิ่นขจร อายุ 33 ปี ลูกเขยของนางธนิดา เหยื่อสารวัตรเถื่อน จะออกมาพูดยืนยันว่า เรื่องนี้จะไม่ขอยอมความและต่อสู้ถึงที่สุดก็ตามที
อีกทั้ง หากจำกันได้วันเกิดเหตุ บิ๊กสีกากี ไร่เรียงมาตั้งแต่ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร. พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ โฆษก ตร. พล.ต.ต.กรีรินทร์ อินทร์แก้ว ผบก.น.9 ต่างก็ต้องออกมากู้หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติกันถ้วนหน้า ด้วยคำสั่งให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับ พ.ต.ต.อรรถวุฒิ
ซึ่งวันนั้น พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ ดาราสีกากี พูดชัดว่า “ผมยังคงยืนยันว่า การที่มีตำรวจมีพฤติกรรมเข้าไปทำร้ายร่างกายประชาชน นอกจากสังคมจะรับไม่ได้แล้ว ตำรวจก็รับไม่ได้ ซึ่งตำรวจทุกนาย รวมถึงผู้ต้องหาก็ต้องตระหนักด้วย และสิ่งที่ ตร.ต้องดำเนินการ คือให้ ผกก.ที่เป็นต้นสังกัดของผู้ต้องหาไปตั้งกรรมการสอบวินัย ถ้าผลสอบเป็นอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น พักราชการก็ต้องพัก ออกก็ต้องออก ไม่มีการปกป้อง เพราะตำรวจจะทำร้ายประชาชนไม่ได้ โดยคาดว่าผลทางวินัยจะไม่นานเพราะสำนวนก็ใกล้เสร็จสิ้นแล้ว”
จากพฤติกรรมสุดกร่าง!!!ของ"พ.ต.ต.อรรถวุฒิ กิจคาม"สวป.สภ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร ช่วยราชการ(จอมปลอม)สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังไม่ถือว่าหยุดอยู่แค่รุมทำร้ายอาม่าวัย 60 ปี พบโรงพักเท่านั้น แต่เขาก็ยังไม่เลิกนิสัยกร่าง แม้อยู่ในสภาผู้แทนราษฎร ครั้งเข้าให้การกับคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยวันนั้น ไอ้สารวัตรแสบ ได้ใช้โทรศัพท์มือถือทำการถ่ายรูปสื่อมวลชนทุกคนที่เข้ารับฟังการชี้แจง รวมทั้งได้เอ่ยปากขอรายชื่อ กมธ.ตำรวจฯทุกคนโดยให้เหตุผลว่า เป็นการใช้สิทธิ์ป้องกันตัวเองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 40 และไม่ขอชี้แจงในชั้น กมธ.เพราะจะขอใช้สิทธิ์ไปชี้แจงในชั้นศาล โดยอ้างเหตุผลว่า มีผู้ใหญ่ใน สตช.ได้กำชับไม่ให้ตนพูดหรือแสดงความคิดเห็นอะไร พร้อมกับแก้ตัวหน้าด้านๆว่าก่อนหน้านี้ตนเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมเกี่ยวกับรูปคดี และมีลักษณะเหมือนกันจัดฉาก
โดยพฤติกรรมกร่าง วันนั้น ทำให้ กมธ.หลายคนแสดงความไม่พอใจ ไม่ว่าจะเป็น นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ได้ต่อว่ากลางที่ประชุมว่า พฤติกรรมของ พ.ต.ต.อรรถวุฒิ แยกไม่ออกระหว่างหน้าที่ตำรวจและเรื่องส่วนตัว ถ้ายังเป็นตำรวจต่อไปเชื่อว่าไปไม่รอดแน่
ขณะที่ พล.ต.ต.ดิสสทัต ภิริปโชติ ที่ปรึกษากมธ.และอดีตผู้ช่วย ผบช.น. พูดว่า ในฐานะที่ตนเป็นอดีตนายตำรวจ ยังรู้สึกอับอายกับการแสดงพฤติกรรมยโสโอหังเช่นนี้ ทั้งนี้ตัวเองเป็นเพียงแค่เด็กหัวฝน ใครแตะนิดหน่อยก็ฟัดทันที ถ้าอยู่ในหน้าที่ราชการต่อไปคงไปไม่รอด
สำหรับสาเหตุของความล่าช้า พ.ต.อ.อนุชา อ่วมเจริญ ผกก.สน.เพชรเกษม เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังเหลือการสอบปากคำพยานอีกเพียงแค่ 1- 2 ปาก ทำให้ยังไม่สามารถสรุปสำนวนส่งให้อัยการได้ แต่อย่างไรก็ตามได้เร่งรัดไปยังพนักงานสอบสวนว่าให้เร่งสอบปากคำพร้อมกับรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อสรุปสำนวนให้แล้วเสร็จภายในเดือนนี้ เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจและผู้ต้องหาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่ง พล.ต.ต.กรีรินทร์ อินทร์แก้ว ผบก.น. 9 ก็ได้กำชับมาว่าให้เร่งดำเนินการตามขั้นตอนให้เร็วที่สุด โดยทุกขั้นตอนต้องเป็นไปด้วยความรอบคอบและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่เข้าข้างตำรวจด้วยกัน
ขณะที่ลูกพี่อย่าง พล.ต.ต.จุมพล จำปาจันทร์ ผบก.ภ.จว.สกลนคร กล่าวว่า ขณะนี้ได้ทำหนังสือชี้แจงไปยังกองบังคับการตำรวจภูธรภาค 4 แล้ว พร้อมกับลงความเห็นให้ตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยร้ายแรง แก่ พ.ต.ต.อรรถวุฒิ แต่ผู้ที่จะมีอำนาจเซ็นต์คำสั่งว่าจะให้ออกจากราชการ หรือ ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง พ.ต.ต.อรรถวุฒิ นั้นคือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากคดีนี้ผู้ต้องหาอีก 1 ราย คือ ส.ต.ท.ภาณุพันธ์ เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดของกองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) และมีการรวมมาเป็นคดีเดียวทำให้ตนไม่มีอำนาจในการเซ็นต์คำสั่งดำเนินการใดๆ เพียงแค่ลงความเห็นให้มีการตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยร้ายแรงแก่ พ.ต.ต.อรรถวุฒิ เท่านั้น
พล.ต.ต.อุดม กล่าวต่อว่า ขณะนี้ตนยังไม่ทราบว่ากองบังคับการตำรวจภูธรภาค 4 ได้ยื่นหนังสือเกี่ยวกับคดีดังกล่าวไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้วหรือยัง ส่วน พ.ต.ต.อรรถวุฒิ ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ สภ.เจริญศิลป์ ซึ่งตนได้ให้ พ.ต.ต.อรรถวุฒิ ไปบำเพ็ญประโยชน์ที่วัดแห่งหนึ่งในย่าน สภ.เจริญศิลป์ และปฏิบัติธรรมเพื่อไม่ให้เกิดความฟุ้งซ่าน และเป็นการช่วยบำรุงพระพุทธศาสนาอีกด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ พ.ต.ต.อรรถวุฒิ ถูกขอตัวไปช่วยราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่ยังไม่ได้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ที่ สภ.เจริญศิลป์เลย โดยกลับไปที่ สภ.เจริญศิลป์ เป็นครั้งคราว เพื่อเข้าพบผู้บังคับบัญชาต้นสังกัด จากนั้นก็ไม่ได้กลับไปอีก จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว หลังจากเกิดเหตุได้มีการโทรศัพท์ไปสอบถามตำรวจชั้นผู้ใหญ่ของ สตช.แต่กลับได้รับคำตอบว่า พ.ต.ต.อรรถวุฒิ ไม่ได้มาช่วยราชการ ไม่รู้ว่าถูกยืมตัวมาช่วยอยู่ฝ่ายไหน เมื่อ พ.ต.ต.อรรถวุฒิ ตกเป็นผู้ต้องหาก็ถูกส่งตัวและโอนเรื่องคดีกลับไปให้ที่ต้นสังกัดทันที โดยไม่มีฝ่ายใดออกมายืนยันว่า พ.ต.ต.อรรถวุฒิ ปฏิบัติหน้าที่ช่วยราชการ สตช.อยู่
จากเหตุ สตช.เลี้ยงตำรวจชั่ว วันนี้ ถือว่ายังไม่สายที่ผู้บริหารองค์กร หรือ ผู้บังคับบัญชา ที่คอยปกป้อง ช่วยเหลือ พวกสีเดียวกัน จะหวลคิดสักนิดว่า หากกำจัด สารวัตรนายนี้ออกไป จะช่วยให้องค์กรดีขึ้นหรือไม่ เพราะว่ากันว่า การช่วยราชการแบบตำรวจพเนจรของ"พ.ต.ต.อรรถวุฒิ กิจคาม"หลายคนชักสงสัยว่า มาเป็นมือปืน หรือ เป็นการ์ดให้นายตำรวจใหญ่นายใด หรือไม่ เรื่องนี้ คงไม่อยากที่จะตรวจสอบ เพราะหลายคนเขารู้แล้ว ครับ