รมว.ยุติธรรมระบุ ยังไม่มีความจำเป็นที่จะนำคดีค้าอาวุธข้ามชาติบรรจุเข้าเป็นคดีพิเสษให้ดีเอสไอดำเนินการ ขณะที่ตำรวจสันติบาล บุกเรือนจำ นำซิมการ์ดโทรศัพท์ผู้ต้องหาไปแกะข้อมูลเพิ่มเติม
วันนี้ (18 ธ.ค.) ที่เรือนจำกลางคลองเปรม นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณีหน่วยงานความมั่นคงจับกุม 5 ผู้ต้องหาขนอาวุธสงครามข้ามชาติว่า กระทรวงยุติธรรมสแตนบายรอคำสั่งอยู่ตลอดเวลา เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานความมั่นคง ถ้ามีความจำเป็นกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็พร้อมดำเนินการ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ไม่มีความจำเป็นหรือเหตุผลที่ต้องให้ดีเอสไอดำเนินการ เพราะจะสับสนวุ่นวาย อีกทั้งการสอบสวนก็ยังไม่มีปัญหา
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่ดีเอสไอจะได้เป็นคดีพิเศษต้องมีเงื่อนไขอย่างไร นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า มี 2 เงื่อนไข คือ 1.เป็นไปตามกฎหมาย ปัจจุบันทุกหน่วยงานรู้ว่าเรื่องใดเป็นอำนาจของดีเอสไอก็จะส่งมา 2.มีเหตุผลที่ต้องเป็นคดีพิเศษ ก็จะนำเรื่องเสนอที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษพิจารณาอนุมัติให้ดีเอสไอสอบสวน
เมื่อถามว่า การจับกุมครั้งนี้จะเป็นการชักศึกเข้าบ้านหรือไม่ นายพีระพันธุ์กล่าวว่า เชื่อว่าจะไม่เกิดความวุ่นวาย เพราะทางการไทยมีการจับกุมขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติมาหลายครั้ง อีกทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ก็มีนโยบายให้บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ส่วนการควบคุมผู้ต้องขังได้กำชับนายชาติชาย สุทธิกลม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ให้ตรวจสอบและดูแลอย่างใกล้ชิด
ด้านแหล่งข่าวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า วานนี้ (17 ธ.ค.) ตำรวจสันติบาลได้เดินทางมายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อขอรับซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาชาวคาซัคสถานและเบลารุส 5 ราย ในคดีลักลอบขนอาวุธสงคราม เพื่อนำไปคัดลอกข้อมูลการใช้โทรศัพท์ติดต่อสื่อสาร แต่ไม่มีพนักงานสอบสวนเข้าสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 5 ราย ในส่วนของนายวิกเตอร์ บูต พ่อค้าอาวุธสงครามระดับโลกชาวรัสเซียนั้น จนถึงขณะนี้ยังไม่มีตำรวจหรือหน่วยงานใดติดต่อขอเข้าสอบปากคำนายวิกเตอร์ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ในแดนความมั่นสูงของเรือนจำ โดยจัดให้นายวิคเตอร์พักร่วมกับเพื่อนผู้ต้องขังจำนวน 28 คน ขณะที่เรือนนอนปกติจะคุมขังนักโทษห้องละ 35 คน สำหรับการใช้บัตรโทรศัพท์เพื่อติดต่อสื่อสารกับญาตินั้น กรณีของนายวิกเตอร์และนักโทษต่างชาติ เรือนจำไม่อนุญาตให้ใช้โทรศัพท์ เนื่องจากไม่สามารถตรวจสอบประวัติและเบอร์โทรศัพท์ติดต่อญาติพี่น้องได้
