สอบคำพิพากษากล้ายางรั่วยังไม่คืบ วอนพยานร่วมมือ!

การตรวจสอบข้อเท็จจริงคำพิพากษาคดีทุจริตกล้ายางรั่วยังอืด รอสอบพยานบุคคลภายนอก ส่วนองค์คณะ 9 คน และเจ้าหน้าที่ศาลให้การครบแล้ว

วันนี้ (26 พ.ย.) แหล่งข่าวในศาลยุติธรรม กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีมีบุคคลภายนอกล่วงรู้คำพิพากษาคดีทุจริตซื้อต้นกล้ายางพารา มูลค่า 1,440 ล้านบาท ก่อนที่องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะอ่านคำพิพากษาหรือไม่ ว่า หลังจาก นายวิรัช ลิ้มวิชัย อดีตประธานศาลฎีกา ลงนามเห็นชอบแต่งตั้งผู้พิพากษาระดับสูงในศาลฎีกา จำนวน 3 คน เป็นกรรมการสอบสวน ก็ได้ดำเนินการตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 ม.68 ทำการสอบสวนข้อเท็จจริงโดยไม่รอช้า ขณะที่การสอบสวนมีความคืบหน้าไปมากแล้ว โดยเรียกองค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คน และเจ้าหน้าที่ศาล มาซักถามเป็นที่เรียบร้อย ส่วนบุคคลภายนอกก็เรียกมาให้การด้วย แต่ยังมีปัญหาว่า บางคนไม่มา จึงอาจส่งผลให้การสอบสวนล่าช้าออกไปบ้าง อย่างไรก็ดี เราอยากให้พยานให้ความร่วมมือที่จะมาให้ข้อเท็จจริง เพราะจะเป็นประโยชน์ในการสืบสวนหาข้อเท็จจริงอย่างมาก

“ยืนยันว่า เราไม่มีเจตนาที่จะดึงคดีนี้ให้ล่าช้า เพื่อกลบกระแสแล้วให้คนค่อยๆลืมไปเรื่อยๆ เพราะเราไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องทำเช่นนั้น และไม่คิดที่จะปกป้องคนผิดแน่ๆ ดังนั้น ยิ่งผลสอบออกมาเร็วมากเท่าใด ก็จะเป็นผลดีกับองค์กรมากเท่านั้น เพราะจะได้ตอบคำถามสังคมได้ และแสดงถึงความโปร่งใสขององค์กร” แหล่งข่าวระบุ

นอกจากนี้ แหล่งข่าวในศาลยุติธรรม กล่าวว่า หากผลสอบ พบว่าคำพิพากษารั่วจริง และกระทำโดยจงใจ ก็ถือว่ากระทำผิดประมวลจริยธรรมและระเบียบ เนื่องจากคำพิพากษาเป็นความลับจนกว่าจะอ่านอย่างเปิดเผย และถ้ามีการรั่วไหลจริงโดยมีผู้เกี่ยวข้อง ก็จะต้องเสนอรายงานให้ นายสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกา รับทราบเพื่อพิจารณาและดำเนินการต่อไป แต่ถ้าไม่พบความผิดปกติ เรื่องก็ยุติไป ซึ่งอยากให้มั่นใจว่า ไม่ว่าผลสอบจะออกมาเป็นอย่างไร ศาลจะไม่ถือว่าเป็นการเสียหน้า เสียชื่อเสียง เพราะถือว่าเราต้องทำตามกระบวนการยุติธรรม และต้องมีความโปร่งใส ใครผิดก็ว่าไปตามผิด จะไม่เก็บไว้แน่นอน และที่ผ่านมาเราก็เคยลงโทษผู้ที่กระทำผิดเช่นนี้มาแล้ว