อัยการคดีพิเศษฟ้อง“ พล.อ.ธีรเดช มีเพียร”ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา ร่วมกับพวก 2 คน ออกระเบียบจ่ายเบี้ยประชุมลักษณะเหมาจ่ายรายเดือน ขึ้นเงินตัวเองเดือนละ 20,000 บาทโดยไม่ชอบ เบิกจ่าย 3 เดือนรวม 6 หมื่น ศาลนัดสอบคำให้การ 8 ก.พ.ปีหน้า เจ้าตัวใช้ตำแหน่ง -เงินสดยื่นประกัน ศาลตีราคาคนละ 1.2 แสน
วันนี้( 23 พ.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายพูลทรัพย์ ปิยะอนันต์ อายุ 67 ปี ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา , พล.อ.ธีรเดช มีเพียร อายุ 70 ปี ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา และนายปราโมทย์ โชติมงคล อดีตเลขาธิการผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา เป็นจำเลยที่ 1 - 3 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต และเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบ มาตรา 86
ฟ้องโจทก์สรุปว่า ระหว่างวันที่ 29 ก.ค. - 30 ก.ย.47 ขณะจำเลยที่ 1 และ 2 ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน ฯ ร่วมกับ จำเลยที่ 3 เลขาธิการผู้ตรวจแผ่นดิน ฯ ขณะนั้น ซึ่งให้ความช่วยเหลือให้ความสะดวก จำเลยที่ 1 -2 กระทำผิด ในการจัดทำร่างระเบียบผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยประชุมกรรมการ และอนุกรรมการ และค่าตอบแทนบุคคลหรือคณะบุคคล พ.ศ.2547 โดยจำเลยที่ 3 นำเอาร่างระเบียบศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเบี้ยประชุมกรรมการและอนุกรรมการ และค่าตอบแทนบุคคลหรือคณะบุคคล พ.ศ.2547 ที่กำหนดค่าตอบแทนลักษณะเหมาจ่ายเดือนละ 20,000 บาทที่เป็นข้อกำหนดที่ออกโดยมิชอบมาอ้างอิงเป็นต้นแบบเพื่อออกร่างระเบียบผู้ตรวจการแผ่นดิน ฯ ดังกล่าว โดยวันที่ 30 ก.ค.47 จำเลยที่ 1 - 2 ให้ความเห็นชอบเพื่อออกใช้เป็นระเบียบและมีการประกาศใช้โดยให้มีผลบังคับย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.47 ซึ่งสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ฯ ดำเนินการเบิกจ่ายค่าตอบแทนประจำเดือน ก.ค. - ก.ย.47 จำเลยที่ 1 - 3 เดือนละ 20,000 บาท รวม 3 เดือน 60,000 บาท ทั้งที่พวกจำเลยไม่มีอำนาจโดยชอบที่จะให้ความเห็น การที่จะออกระเบียบจ่ายเงินค่าตอบแทนให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน ฯ เป็นรายเดือนลักษณะเหมาจ่ายเป็นเงินเพิ่มพิเศษลักษณะควบกับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งนั้น จะต้องออกเป็นกฎหมายตามที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 มาตรา 253 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา พ.ศ.2542 มาตรา 5 บัญญัติไว้เท่านั้น โดยต้องผ่านกระบวนการจากคณะรัฐมนตรีเข้าสู่รัฐสภาเพื่อออกเป็นกฎหมายใช้บังคับต่อไป ทั้งนี้ภายหลังจำเลยทั้งสามกระทำผิดแล้ว ได้ส่งเงินคนละ 60,000 บาทคืนให้สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ฯในชั้นไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลประทับรับฟ้องเป็นคดีดำหมายเลข อ.4290 / 2552 โดยให้นัดสอบคำให้การจำเลยและตรวจพยานหลักฐาน ในวันที่ 8 ก.พ.2553 เวลา 09.00 น.
ภายหลังจำเลยทั้งสามได้ใช้ตำแหน่ง พร้อมเงินสด เป็นหลักทรัพย์ ยื่นขอประกันตัว ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้งสาม โดยตีราคาประกันคนละ 1.2 แสนบาท
วันนี้( 23 พ.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายพูลทรัพย์ ปิยะอนันต์ อายุ 67 ปี ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา , พล.อ.ธีรเดช มีเพียร อายุ 70 ปี ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา และนายปราโมทย์ โชติมงคล อดีตเลขาธิการผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา เป็นจำเลยที่ 1 - 3 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต และเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบ มาตรา 86
ฟ้องโจทก์สรุปว่า ระหว่างวันที่ 29 ก.ค. - 30 ก.ย.47 ขณะจำเลยที่ 1 และ 2 ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน ฯ ร่วมกับ จำเลยที่ 3 เลขาธิการผู้ตรวจแผ่นดิน ฯ ขณะนั้น ซึ่งให้ความช่วยเหลือให้ความสะดวก จำเลยที่ 1 -2 กระทำผิด ในการจัดทำร่างระเบียบผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยประชุมกรรมการ และอนุกรรมการ และค่าตอบแทนบุคคลหรือคณะบุคคล พ.ศ.2547 โดยจำเลยที่ 3 นำเอาร่างระเบียบศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเบี้ยประชุมกรรมการและอนุกรรมการ และค่าตอบแทนบุคคลหรือคณะบุคคล พ.ศ.2547 ที่กำหนดค่าตอบแทนลักษณะเหมาจ่ายเดือนละ 20,000 บาทที่เป็นข้อกำหนดที่ออกโดยมิชอบมาอ้างอิงเป็นต้นแบบเพื่อออกร่างระเบียบผู้ตรวจการแผ่นดิน ฯ ดังกล่าว โดยวันที่ 30 ก.ค.47 จำเลยที่ 1 - 2 ให้ความเห็นชอบเพื่อออกใช้เป็นระเบียบและมีการประกาศใช้โดยให้มีผลบังคับย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.47 ซึ่งสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ฯ ดำเนินการเบิกจ่ายค่าตอบแทนประจำเดือน ก.ค. - ก.ย.47 จำเลยที่ 1 - 3 เดือนละ 20,000 บาท รวม 3 เดือน 60,000 บาท ทั้งที่พวกจำเลยไม่มีอำนาจโดยชอบที่จะให้ความเห็น การที่จะออกระเบียบจ่ายเงินค่าตอบแทนให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน ฯ เป็นรายเดือนลักษณะเหมาจ่ายเป็นเงินเพิ่มพิเศษลักษณะควบกับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งนั้น จะต้องออกเป็นกฎหมายตามที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 มาตรา 253 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา พ.ศ.2542 มาตรา 5 บัญญัติไว้เท่านั้น โดยต้องผ่านกระบวนการจากคณะรัฐมนตรีเข้าสู่รัฐสภาเพื่อออกเป็นกฎหมายใช้บังคับต่อไป ทั้งนี้ภายหลังจำเลยทั้งสามกระทำผิดแล้ว ได้ส่งเงินคนละ 60,000 บาทคืนให้สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ฯในชั้นไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลประทับรับฟ้องเป็นคดีดำหมายเลข อ.4290 / 2552 โดยให้นัดสอบคำให้การจำเลยและตรวจพยานหลักฐาน ในวันที่ 8 ก.พ.2553 เวลา 09.00 น.
ภายหลังจำเลยทั้งสามได้ใช้ตำแหน่ง พร้อมเงินสด เป็นหลักทรัพย์ ยื่นขอประกันตัว ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้งสาม โดยตีราคาประกันคนละ 1.2 แสนบาท