ออกหมายจับ-คุมตัวมือยิงฆ่าหั่นศพสองแม่ลูกไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ 14 จุด เจ้าตัวยังคงมีสีหน้าราบเรียบ ยันเป็นคนลงมือฆ่ากิ๊กสาวใหญ่จริง แต่ไม่ได้ตั้งใจ เกิดจากโทสะที่ถูกบังคับให้ไปฆ่าสามีเก่าชาวญี่ปุ่น ขณะที่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ มุ่งประเด็นไปที่รอยสักของคนร้าย อาจเกี่ยวโยง “แก๊งยามามูจิ” ฆ่าตามใบสั่งขัดแย้งทางธุรกิจ
วันนี้(14 ต.ค.) เมื่อเวลา 04.00 น. พ.ต.ท.สุกิจ อรุณฤกษ์ถวิล รองผกก.สส.สน.ตลิ่งชัน พ.ต.ท.ประเสริฐ สีตลาศัย พนักงานสอบสวน (สบ 3) พ.ต.ท.ธนพล บินทปัญญา พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.ตลิ่งชัน ได้เดินทางไปศาลอาญารัชดา เพื่อขออนุมัติหมายจับนายศิริพงษ์ กาญจนนิวิฐ อายุ 40 ปี ที่รับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือฆ่านางสุนันท์ ศรีสุวรรณ หรือมาคิโน อายุ 38 ปี ภรรยา และเด็กชายโชว์ มาคิโน ลูกชายวัย 5 ขวบของนางสุนันท์ อีกทั้งกระสุนพลาดไปถูก ด.ญ.พิชยา หรือน้องมิ้นท์ อายุ 13 ปี ได้รับบาดเจ็บพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลพระราม 9 โดยศาลอาญารัชดา อนุมัติหมายจับเลขที่ จ. 2939/2552 ลงวันที่ 14 ต.ค.52 ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พกพาอาวุธปืน และซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ หรือส่วนของศพเพื่อปิดบังการตาย
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในวันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำตัวนายศิริพงษ์ไปทำแผนประกอบการรับสารภาพตามจุดต่างๆ ที่ลงมือก่อเหตุ รวมทั้งสิ้น 14 จุด โดยจะเริ่มตั้งแต่จุดแรกคือสนามบินสุวรรณภูมิ ที่นายศิริพงษ์ไปรับนางสุนันท์ที่เดินทางกลับมาจากประเทศญี่ปุ่น จากนั้นก็เรื่อยไปตั้งแต่ถนนวงแหวนตะวันตก ไปบ้านพักที่บางบัวทอง ย้อนกลับไปลาดหลุมแก้วแล้วจึงวกกลับไปบ้านพักที่บางบัวทอง ก่อนมาตามถนนราชพฤกษ์ที่นำชิ้นส่วนของน้องโชว์มาทิ้งที่หมู่บ้านพิมาน ซึ่งเป็นหมู่บ้านร้าง โดยจะมีการคุ้มกันอย่างเต็มที่เนื่องจากเกรงว่าประชาชนจะรุมประชาทัณฑ์
ด้าน นายศิริพงษ์ กล่าวผ่านห้องขังด้วยสีหน้าราบเรียบว่า ตนเองเคยมีครอบครัวมาก่อน แต่เลิกรากับภรรยาไปกว่า 10 ปีแล้ว โดยมีลูกทั้งหมด 3 คน คนโตเป็นผู้หญิงอายุ 18 ปี คนกลางผู้หญิง 13 ปี เท่าน้องมิ้นท์ และคนเล็กเป็นผู้ชายอายุ 10 ปี ขณะนี้ถือศีลอยู่กับแม่ที่วัดเกตุม ย่านสมุทรสาคร ก่อนจะมาพบกับนางสุนันท์ ส่วนสาเหตุที่ตนเองฆ่านางสุนันท์นั้น ยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจ แต่เกิดจากอารมณ์โมโห ที่นางสุนันท์พยายามบังคับให้ตนเองไปฆ่าสามีเก่าชาวญี่ปุ่น แล้วตนเองพยายามสอบถามว่ามีเรื่องอะไรกัน แต่นางสุนันท์ไม่ยอมเล่าให้ฟัง
นายศิริพงษ์กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นตนก็มารู้ว่า นางสุนันท์ได้ไปมีแฟนใหม่ทราบเพียงชื่อเล่นว่า “ทูล” อยู่ย่านนครปฐม ซึ่งตนเองบังเอิญได้ยินผ่านทางโทรศัพท์มือถือขณะที่นางสุนันท์พยายามวางสายตนเอง แต่เกิดผิดพลาดเป็นการคุย 3 สายเข้า ทำให้ตนได้ยินว่านางสุนันท์ปรึกษากับนายทูลว่าจะลงมือฆ่าตน จึงทำให้เกิดความระแวงมาตลอด อีกทั้งเมื่ออยู่ที่บ้านพักก็มักมีสายจากชายลึกลับโทร.เข้ามาข่มขู่ตลอด จนเมื่อ 2 เดือนก่อนต้องเดินทางไปแจ้งความไว้ที่ สภ.ย่อยบางบัวทอง ตรงด้านหน้าวัดละหาน เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน เมื่อนางสุนันท์เดินทางกลับมาจากประเทศญี่ปุ่น จากเมืองนางิตะ แล้วให้ตนเองไปรับที่สนามบิน จึงกลัวว่าจะมีคนลอบทำร้าย เลยนำปืนพกติดตัวไปด้วย ระหว่างทางมีปากเสียงกันเรื่องเดิมๆ คือบังคับให้ไปฆ่าคน ทำให้ตนเกิดอารมณ์ชั่ววูบ ลั่นไกกลับหลังโดยไม่ได้มอง จนเกิดเหตุสลดในที่สุด
รายงานข่าวแจ้งว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ โดยการสืบสวนทางลับขณะนี้ ได้ให้ความสนใจไปที่รอยสักบริเวณแขนทั้ง 2 ข้าง ที่สีสันฉูดฉาดสะดุดตา และลวดลายมีความละเอียดอ่อน ซึ่งผู้ต้องหาอาจจะเคยเป็นหนึ่งในอดีตแก๊ง "ยามามูจิ" แก๊งยากูซ่าชื่อดังที่ประเทศญี่ปุ่น ที่มีการแพร่ขยายเข้ามาหากินในประเทศไทย โดยมีพฤติกรรมเหี้ยมโหดคอยเรียกค่าคุ้มครองรีดไถ่ หรือ ค่าผ่านทาง กับบุคคลที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย ทั้งย่าน สีลม บางรัก และย่านธุรกิจอื่นๆ แต่ถ้านักธุรกิจไม่จ่ายค่าคุ้มครองให้ ทางแก๊งใหญ่ประเทศต้นสังกัดก็จะทำการลักพาตัวคนครอบครัวของนักธุรกิจเหล่านี้เพื่อเป็นการข่มขู่ และแก๊งนี้เมื่อมีการก่อเหตุแล้ว ก็จะเดินทางกลับประเทศเพื่อหลบหนีการจับกุม โดยจะมีอีกกลุ่มเข้ามาเพื่อทำงานแทน โดยแก๊งนี้จะมีหัวหน้าแก๊งเป็นชาวญี่ปุ่นจำนวน 3 คน และสมาชิกแก๊งจะมีสัญลักษณ์ของแก๊งเป็นการสักด้วยลวดลายที่ซับซ้อน ที่บริเวณลำตัว ท่อนแขน
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการสืบสวนว่าจะมีการเกี่ยวโยงกับแก๊งดังกล่าวหรือไม่ เพราะอาจเป็นไปได้ว่าอาจจะมีใบสั่งจากแก๊งดังกล่าวให้ฆ่านางสุนันท์ เนื่องจากขัดผลประโยชน์ธุรกิจ เพราะก่อนหน้านี้นางสุนันท์เคยไปทำงานที่เมืองนางิตะที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง และมีการไปกลับประเทศญี่ปุ่นอยู่เสมอ
ต่อมาเวลา 09.00 น.วันนี้ (14 ต.ค.) เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เบิกตัวนายศิริพงษ์ กาญจนนิวิฐ ออกจากห้องควบคุมผู้ต้องหาขึ้นไปที่ห้องประชุม ชั้น 3 ของโรงพัก เพื่อทำการสอบปากคำเพิ่มเติม โดยมีพล.ต.ต.ไพศาล เชื้อรอต ผบก.น. 7 พ.ต.อ.สุธีฐ์ เนรกัณฐี รอง ผบก.น. 7 พร้อมชุดพนักงานสอบสวนร่วมทำการสอบ บางประเด็นที่พนักงานสอบสวนยังสงสัยอยู่
ต่อมาเวลา 10.00 น. พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผบช.น. ได้เดินทางมาที่ สน.ตลิ่งชัน พร้อมเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ขณะนี้ทาง พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผบ.ตร .ได้ทำหนังสือตั้งชุดเฉพาะกิจเพื่อทำงานในคดีดังกล่าวโดยเป็นการร่วมมือกันระหว่าง บช.น.และ บช.ภ.1 ซึ่งจากการสอบสวนเชื่อว่า ผู้ต้องหาให้การที่เป็นความจริง เนื่องจากมามอบตัวพร้อม ด.ญ.พิชยา หรือน้องมิ้นต์ ซึ่งเป็นพยานและผู้ได้รับบาดเจ็บและเห็นเหตุการณ์มาโดยตลอด และจากการสอบสวนน้องมิ้นต์ ก็ยังให้การสอดคล้องกับผู้ต้องหา จึงเชื่อว่านายศิริพงษ์เป็นคนร้ายตัวจริง
พล.ต.ต.อำนวย กล่าวต่อไปว่า ส่วนประเด็นที่นักข่าวบอกว่าคดีนี้ คนร้ายมอบตัวเป็นเรื่องโชคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนขอบอกว่าไม่โชคดีอย่างเดียว แต่เป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย เนื่องจากได้รวบรวมคดีฆ่าหั่นศพ ท้องที่สน.ตลิ่งชัน กับคดีฆ่าหญิงนิรนามที่สภ.ลาดหลมแก้ว รวมเป็นคดีเดียวกัน ทำให้เข้าใกล้ตัวคนร้ายมากขึ้น และมีการกดดันจนคนร้ายก็ได้เกิดความเครียด จึงไปปรึกษา แม่ที่ไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง พร้อมเล่าเรื่องดังกล่าวให้กับพี่สาวของอดีตภรรยาฟัง ซึ่งก็ทั้งสองคนก็ได้แนะนำให้เข้ามอบตัวกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ต้องหาจึงฝากลูกให้พี่สาวได้ดูแล ก่อนที่จะเดินทางเข้ามอบตัว
พล.ต.ต.อำนวย กล่าวต่อว่า ทางเจ้าหน้าที่จะทำการสอบปากคำผู้ต้องหาเพิ่มเติมในประเด็นเรื่องทรัพย์สินของผู้ตายที่สูญหาย เนื่องจากนางสุนันท์ เพิ่งเดินทางมาจากต่างประเทศ จึงน่าที่จะมีทรัพย์สินติดตัวมาบ้าง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่คงต้องหาทรัพย์สินของกลางของผู้ตาย เนื่องจากเป็นประเด็นที่ต้องติดตามว่า การสังหารเกิดจากสาเหตุใดกันแน่ นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่คนขับรถแท๊กซี่ทั่วไปแล้วจะไม่มีใครพกปืน เนื่องจากขณะนี้เจ้าหน้าที่ตั้งด่านตรวจเป็นจำนวนมาก แต่ผู้ต้องหารายนี้กลับพกปืนไปรับผู้ตายที่สุวรรณภูมิจึงเป็นการแสดงออกถึงเจตนาที่จะไปก่อเหตุ ซึ่งคำให้การของผู้ต้องหาก็ยังให้การขัดแย้งในประเด็นที่อ้างว่า กระสุนที่ใช้เป็นกระสุนที่ใช้ซ้อมยิงไม่ได้ต้องการให้ถึงกับชีวิต ส่วนการยิงเด็กจนเสียชีวิตนั้น เป็นการยิงพลาดไปโดน ก็เป็นประเด็นที่น่าสงสัย
ส่วนหลักฐานที่ต้องทำการตรวจสอบขณะนี้คือ รอยนิ้วมือที่ติดอยู่ภายในแท็กซี่ ยี่ห้อโตโยต้า อัลติส สีชมพู หมายเลขทะเบียน ทล-5979 กทม. ของสหกรณ์แท็กซี่ไทยจำกัด ซึ่งจากการตรวจสอบสภาพของรถแท๊กซี่คันดังกล่าวพบว่า มีรูกระสุนอยู่ภายในรถ และคราบเลือด ส่วนปืนของกลางขณะนี้ได้ครบแล้ว และคิดว่าเป็นผู้ก่อเหตุเป็นตัวจริงไม่ใช่แพะ แต่จะมีผู้ร่วมก่อเหตุเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น อยู่ระหว่างการตรวจรอยนิ้วมือ และวิธีกระสุน
พล.ต.ต.อำนวย กล่าวอีกว่า ส่วน ด.ญ.พิชยา หรือ น้องมิ้นต์ ผู้บาดเจ็บนั้น ขณะนี้ยังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพระราม 9 และจะทำการย้ายตัวไปที่โรงพยาบาลตำรวจ เนื่องจากน้องมิ้นต์ มีสภาพจิตใจที่ไม่ค่อยดี และมีภาวะเครียด ซึ่งตำรวจต้องประสานงานกับทางเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิด โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอยากให้เด็กได้พักสักระยะ ก่อนถึงจะมีการสอบถามเพิ่มเติม ส่วนในเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหากับนายศิริพงษ์ 3 ข้อหา คือ ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และพยายามฆ่าผู้อื่น และเจตนาซ่อนเร้นอำพรางศพ
ส่วนในช่วงบ่ายของวันนี้จะนำผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ตั้งแต่จุดแรก คือสนามบินสุวรรณภูมิ ที่ไปรับผู้ตาย และเด็กอีกสองคน รวมถึงจุดที่ทิ้งศพ ที่ ลาดหลุมแก้ว และจุดที่ทิ้งศพเด็กที่หมู่บ้านร้าง ในพื้นที่สน.ตลิ่งชัน ประมาณ 14 จุด ซึ่งในวันพรุ่งนี้(15 ต.ค.) จะนำตัวนายศิริพงษ์ ไปฝากขังที่ ศาลจังหวัดตลิ่งชันต่อไป
ต่อมาเวลา 11.30 น. เจ้าหน้าที่ได้คุมตัวนายศิริพงษ์ มาทำแผนประกอบคำรับสารภาพบางส่วนก่อน โดยเริ่มจากภายในรถแท็กซี่ผู้ต้องหาอ้างว่าใช้ก่อเหตุผู้ตายทั้ง 2 คน จากนั้นใช้ตำรวจหญิงนั่งเบาะหลังทางด้านขวาแทนนางสุนันท์ และใช้ตุ๊กตาหมีสีชมพูกับสีเหลือง 2 ตัว แทน ด.ช.โช มาคิโน กับ ด.ญ.พิชยา หรือน้องมิ้นต์ ส่วนนายศิริพงษ์ นั่งเบาะหน้าฝั่งคนขับ โดยนายศิริพงษ์ ใช้มือขวาหยิบอาวุธปืน .357 ซึ่งซ่อนอยู่ใต้ที่พรมวางเท้า ขึ้นมาแล้วสอดปืนเข้าใต้แขนซ้าย เอี้ยวไปทางด้านหลังที่ผู้ตายนั่งอยู่ โดยไม่ให้ผู้ตายรู้ตัว ก่อนจะเหนี่ยวไกไปจำนวน 7 นัด จนผู้ตายแน่นิ่งไป หลังจากนั้นนายศิริพงษ์ ก็เปลี่ยนลูกโม่ อีกชุดเข้าไปก่อนจะเหนี่ยวไกอีก 7 นัด แต่กระสุนยิงออกเพียง 4 นัด หลังจากนั้นก็ขับรถไปที่บ้านย่านบางบัวทอง ก่อนจะจัดการกับศพและนำไปทิ้ง โดยตลอดเวลาการทำแผนประกอบคำรับสารภาพในจุดนี้นั้น นายศิริพงษ์ ยังมีอาการนิ่งเฉย ไม่มีอาการเคร่งเครียดแต่อย่างใด
จากนั้น พล.ต.ต.อำนวย เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้สอบปากคำผู้ต้องหาในประเด็นที่ยังสงสัยอยู่ ขณะเดียวกันได้ให้ทางเจ้าหน้าที่อีกชุดไปทำการสอบปากคำแม่ของผู้ต้องหาที่บวชชีอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง เพื่อดูว่าทั้งคู่จะให้การสอดคล้องตรงกันหรือไม่ ส่วนประเด็นทรัพย์สินของผู้ตายนั้นขณะนี้ยังหาไม่เจอ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่จะต้องตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่สนามบินสุวรรณภูมิที่ นางสุนันท์ ผู้ตายลงจากเครื่องบิน จนกระทั่งขึ้นรถแท๊กซี่ เพื่อเป็นหลักฐานในคดีให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นและจะพยายามที่จะให้สรุปสำนวนคดีโดยเร็ว อย่างไรก็ตามยืนยันได้ว่า คนร้ายคนนี้เป็นตัวจริง เพราะวันมอบตัวก็ไปมอบตัวที่ช่อง 9 และก็มีนักข่าว ช่อง 9 ได้ให้การเป็นพยาน และคำให้การ 90 % ของนายศิริพงษ์นั้น ให้การตรงกับ ด.ญ.พิชยา หรือน้องมินต์ ส่วนข่าวเรื่องที่ผู้ต้องหาเป็นแก๊งยากูซ่านั้น ไม่ทราบว่ามาจากไหน ให้ไปถามคนที่ให้ข่าวเอง