9 ก.ย.2552 คนของตระกูลดัง "ศรีอรทัยกุล" ต่างอกสั่นขวัญหาย เมื่อคนร้าย บุกเข้าไปเจาะตู้เซฟของร้านอัญมณีชื่อดัง "บิวตี้เจมส์" ที่ก่อตั้งเป็นบริษัท ตั้งอยู่เลขที่ 31 ซอยยมราช ถนนศาลาแดง แขวงและเขตบางรัก กทม. อันเป็นร้านของตระกูล"ศรีอรทัยกุล"นั่นเอง ที่ต้องอกสั่นขวัญหาย เพราะคนร้ายขนเอาเครื่องเพชรในตู้เซฟไปกว่า 4,000 ชิ้น มูลค่าเบื้องต้นประมาณ 60 ล้านบาท! โดยหนึ่งในจำนวนนั้นมีพลอยบราซิลสีฟ้า "บลูโทปาซ" ที่มีมูลค่าถึงเม็ดละ 1,400,000 บาทรวมอยู่ด้วย
เป็นที่รู้กันดีว่า กิตติศัพท์ของการผลิตอัญมณีของ"บิวตี้เจมส์"นั้น ทรงคุณภาพขนาดไหน คนร้ายที่กล้าเข้าไปโจรกรรมเครื่องเพชรมูลค่ามหาศาล ย่อมต้องไม่ธรรมดา งานนี้ จึงถือเป็นงาน"หิน" ที่ตำรวจจะต้องระดมสมอง และมือดีในการเข้าคลี่คลายคดีให้ได้ ซึ่งร้านบิวตี้เจมส์ ตั้งอยู่ในพื้นที่การรับผิดชอบของสน.ทุ่งมหาเมฆ และตำรวจสน.ทุ่งมหาเมฆก็ทราบดีว่า งานนี้"สุดหิน" จึงได้ประสานขอความร่วมมือไปยังกองปราบปราม ที่มีความเชี่ยวชาญ และมีความชำนาญในการคลี่คลายคดีที่สลับซับซ้อนมากกว่า ในขณะเดียวกัน ตำรวจสน.ทุ่งมหาเมฆก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พร้อมให้ความร่วมมือเต็มที่
เมื่อได้รับการประสานจากตำรวจท้องที่มา "เดอะกิ๊ก" พล.ต.ต.พงษ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบก.ป. สั่งการทันทีให้"ผู้กำกับต๊อก" พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1ป. ไปจัดมือสืบสวนชั้นดี เข้าไปคลี่คลายคดี และแกะรอยคนร้ายรายนี้ให้ได้ ซึ่งหลังรับคำสั่ง "ผู้กำกับต๊อก" เรียกประชุมทีมงาน ประกอบด้วย พ.ต.ท.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ พ.ต.ท.ณัฐกร ประภายนต์ รอง ผกก.1 บก.ป.พ.ต.ต.พุทธพงศ์ เมฆเอี่ยมนภา และร.ต.อ.ศานุวงศ์ คงคาอินทร์ สว.กก.1 พร้อมทีมสืบสวนที่รู้ใจกันมานาน จากนั้นทั้งหมดไม่รอช้า ลงพื้นที่หาหลักฐานเพิ่มเติมทันที
หลังฐานที่ตำรวจท้องที่สน.ทุ่งมหาเมฆ ดำเนินการตรวจสอบในเบื้องต้นหลังเกิดเหตุพบว่า คนร้ายปีนข้ามกำแพงด้านหลังบริษัทเข้าไป จากนั้นได้งัดกระจกเข้าไปในตัวอาคาร แล้วขึ้นไปบนชั้น 2 ซึ่งเป็นห้องเก็บตู้เซฟ ฉกเครื่องประดับเพชร สร้อยคอ-กำไลเพชร 5 ชุดใหญ่ ต่างหู แหวน เข็มกลัด รวมแล้วกว่า 4,000 ชิ้น หลบหนีไป
นั่นเป็นเพียงร่องรอยของคนร้าย ซึ่งพยานหลักฐานต่างๆ อาทิ ลายนิ้วมือแฝง จะเป็นประโยชน์ก็ต่อเมื่อ ใช้เป็นหลักฐานมัดตัวคนร้าย หลังจากที่ตำรวจจับกุมตัวได้และส่งเรื่องให้ศาลเป็นผู้พิจารณาพิพากษาความผิด แต่หลักฐานต่างๆในเบื้องต้น ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ทีมสืบสวนของ"ผู้กำกับต๊อก" สามารถเจาะลึกลงไปถึงตัวคนร้ายได้ว่าเป็นใคร?
การตรวจสอบหาพยานหลักฐานจากที่เกิดเหตุของทีมสืบสวน จากกล้องวงจรปิดของ"บิวตี้เจมส์"เอง ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรมากนักกับทีมสืบสวน แต่กล้องวงจรปิด ที่ทีมสืบสวนไปแคะมาจากบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงของ"บิวตี้เจมส์" กลับเป็นกุญแจดอกสำคัญในการพิชิตคดีนี้ได้อย่างสิ้นเชิง
ในภาพของกล้องวงจรปิดตัวหนึ่ง ทีมสืบสวนพบภาพ"รถกระบะ"ต้องสงสัยคันหนึ่ง จอดอยู่ไม่ไกลจาก"บิวตี้เจมส์"มากนัก และด้วยเทคนิคพิเศษทางเทคโนโลยี ทำให้ทีมสืบสวนได้หมายเลขทะเบียนรถกระบะต้องสงสัยคันนั้นในเวลาไม่นานต่อมา ซึ่งเมื่อทำการตรวจสอบ จึงพบเจ้าของรถผู้ครอบครองชื่อ นายดนัย รายเวทย์ อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 59/56 วัชรพลคอนโดมิเนียม ถ.สุขาภิบาล 5 แขวงออเงิน เขตสายไหม กทม.
ไม่รอช้า ทีมสืบสวนสั่งเช็คประวัติ"ดนัย" ไปยังกองทะเบียนประวัติอาชญากรในทันที จนพบว่า "ดนัย"รายนี้ ต้องสงสัยว่าจะเป็นหนึ่งในคนร้ายที่เข้าไปโจรกรรมเครื่องเพชรล็อตมโหฬารล็อตนี้ เพราะตามประวัติพบว่า เคยก่อคดีลักทรัพย์มาอย่างโชกโชน ในหลายท้องที่ ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด พ้นโทษจากเรือนจำมาเมื่อปี 2547 ถือเป็น"ตีนแมว"มือฉมังระดับแนวหน้าคนหนึ่งในแฟ้มประวัติอาชญากรของตำรวจ ทว่าการจับกุมตัวต้องมีพยานหลักฐานที่จะต้องมัดคนร้ายให้ดิ้นไม่หลุด
เมื่อได้"เป้า" พ.ต.อ.พรศักดิ์ สั่งให้ทีมสืบสวน ไปเฝ้าติดตามพฤติกรรม"ดนัย"ไว้หลายวันหลายคืน ทำให้ทีมสืบสวนค่อนข้างมั่นใจว่า "ดนัย" เข้าข่ายคนร้ายที่เข้าไปโจรกรรมเครื่องเพชรในครั้งนี้ค่อนข้างสูง เพราะพฤติกรรมการใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย อีกทั้งเดินสายเข้าออกบ่อนโน้น บ่อนนี้เป็นว่าเล่น วันดีคืนดีก็ควงคู่หู ตระเวณเที่ยวสถานบันเทิง เดินสายเล่นการพนัน ทำให้ทีมสืบสวนต้องเช็กประวัติวุ่นวายกันอีกครั้ง สำหรับเพื่อนคู่หูของ"ดนัย" จนพบว่า ที่แท้ไม่ใช่ใครอื่น เป็นนายประเสริฐ ฉัตรอมรโชติกุล อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 82/ 137 หมู่ 8 แขวง-เขตจอมทอง กทม. มีประวัติต้องคดีรับของโจรในท้องที่สน.โชคชัย และเคยติดคุกกับ"ดนัย"ร่วมกันมาพร้อมๆกัน จึงต้องส่งทีมสืบสวนอีกชุดตามประกบ"ประเสริฐ"ไว้ไม่ให้คาดสายตา
ข้อมูลต่างๆเบื้องต้น ยังไม่เพียงพอที่จะเช้าล็อกตัว"เป้า"ได้ ทีมสืบสวนอีกชุด ได้แกะรอยกระแสการเงินของ"ดนัย" ก็พบว่ามีเงินเข้าออกบัญชีเป็นจำนวนมาก รวมเป็นตัวเลขไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท ทั้งยังมีการนำเช็คเงินสดไปขึ้นเงินที่ธนาคารกสิกรไทย สาขามีนบุรีด้วย ทีมสืบสวนจึงปักใจเชื่อ 100 เปอร์เซ็นว่า "ดนัย"น่าจะเป็นคนร้ายรายนี้ ไม่มีผิดตัว เพราะกระแสการเงิน และพติกรรมการดำรงชีวิตที่เป็นอยู่ค่อนข้างฟุ่มเฟือย ซึ่งเพิ่งน่าจะลงมือทำงานใหญ่มาไม่นาน
การเฝ้าติดตามพฤติกรรม"ดนัย" และการดำเนินการสอบสวนหาพยานหลักฐานต่างๆใช้เวลาเกือบแรมเดือน จนทีมสืบสวนมั่นใจว่าไม่ผิดตัว "ผู้กำกับต๊อก"จึงไฟเขียว ให้ล็อตตัวทันที่ที่สบโอกาส กระทั่งเมื่อวันที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมา หลังเกิดเหตุเกือบ 1 เดือนเต็ม ทีมสืบสวนชุดแกะรอย พบ"ดนัย"กำลังเดินออกจากร้านทองแห่งหนึ่งในตลาดมีนบุรี ไม่มีการรอช้า ทีมสืบสวนเข้าจับกุมทันที และเมื่อตรวจค้นตัว ก็พบของกลางเป็นเครื่องประดับแหวนเพชร และจี้เพชร กว่า 30 รายการ จากนั้นคุมตัวมาสอบสวนที่กองปราบปราม
ยังไม่ทันที่ทีมสืบสวนต้องง้างปาก "ดนัย"ก็สารภาพออกมาสิ้นไส้ อันเป็นสันดานของบรรดาตีนแมวอาชีพ ว่าร่วมกับ"ประเสริฐ" เพื่อนคู่หู เข้าไปโจรกรรมเครื่องเพชรใน"บิวตี้เจมส์"จริง ทีมสืบสวนที่ตามประกบ"ประเสริฐ"อยู่ จึงเข้าชาร์จจับกุม"ประเสร็ฐ"ได้ทันทีเช่นกันที่บ้านเช่าไม่มีเลขที่ บนถนนราชพฤกษ์ เขตภาษีเจริญ กทม. พร้อมรถยนต์อีซูซุ รุ่นมิวเซเว่น สีดำ ทะเบียน ฌว 5285 กทม. ที่มีเครื่องเพชร ทั้งสร้อยเพชร จี้เพชร กำไลเพชร ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในรถคันดังกล่าวกว่า 3,000 ชิ้น โดยมีพลอยบราซิล สีฟ้า "บลูโทปาซ"รวมอยู่ด้วย
"ดนัย"รับสารภาพว่า รู้จักมักคุ้น และสนิทสนมกับ"ประเสริฐ" ครั้งตั้งแต่ติดคุกอยู่ในเรือนจำด้วยกันแล้ว และหลังพ้นโทษตั้งแต่ปี 2547 มา ก็จับคู่ตระเวณลักทรัพย์ด้วยกันเรื่อยมา แต่ละครรั้ง ไม่มีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน การลงมือขึ้นอยู่กับความสะดวก โดยเงินที่ได้ จะนำมาแบ่งกัน ตระเวณท่องราตรี และเดินสายเข้าบ่อนด้วยกัน จนกระทั่งมาถูกจับในครั้งนี้
"ในวันเกิดเหตุ ช่วงเวลาประมาณตีหนึ่ง ผม 2 คนออกตระเวนหาเป้าหมายเหมือนเดิม พอดีผ่านไปยังบริษัทดังกล่าว สังเกตเห็นเป็นบริษัทค้าอัญมณีรายใหญ่ ก็เลยพากันเดินสำรวจ จนไปพบว่า ที่บริเวณด้านหลังของบริษัท ซึ่งติดกับอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง เป็นจุดอับ การป้องกันไม่ดีพอ จึงพากันปีนรั้วเข้าไป และใช้ไขควงเลาะขอบกระจกใกล้ประตูจนแตก แล้วก็เปิดประตูเข้าไปเข้าไปในอาคาร ขึ้นไปบนชั้นสอง เจอตู้เซฟ ก็ใช้อุปกรณ์ที่ติดตัวไปด้วยงัด เอาทรัพย์สินภายในตู้ออกมาทั้งหมด ก่อนจะหลบหนีออกมา โดยใช้เวลาตั้งแต่เที่ยงคืนจนเกือบถึงตีสาม เมื่อปลอดคนก็รีบหลบหนีออกมา ส่วนทรัพย์สินที่ได้ ก็นำไปขายกับร้านทองที่เคยไปขายเป็นประจำ ซึ่งมีอยู่หลายๆ แห่งทั่วกรุงเทพฯ แต่ละครั้งก็จะขายครั้งละน้อยๆ เพราะกลัวจะผิดสังเกต จนกระทั่งมาถูกจับ"ดนัยให้การ
"ไป...ส่งตัวมันไปให้ท้องที่ดำเนินคดี" เสียงพ.ต.อ.พรศักดิ์สั่งการ พร้อมกับลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะไม่รู้ว่า หลังจากที่เจ้า 2 ตีนแมวมหาภัยคู่นี้พ้นโทษออกมาอีก สุจริตชนจะต้องเดือดร้อนอีกหรือไม่
เป็นที่รู้กันดีว่า กิตติศัพท์ของการผลิตอัญมณีของ"บิวตี้เจมส์"นั้น ทรงคุณภาพขนาดไหน คนร้ายที่กล้าเข้าไปโจรกรรมเครื่องเพชรมูลค่ามหาศาล ย่อมต้องไม่ธรรมดา งานนี้ จึงถือเป็นงาน"หิน" ที่ตำรวจจะต้องระดมสมอง และมือดีในการเข้าคลี่คลายคดีให้ได้ ซึ่งร้านบิวตี้เจมส์ ตั้งอยู่ในพื้นที่การรับผิดชอบของสน.ทุ่งมหาเมฆ และตำรวจสน.ทุ่งมหาเมฆก็ทราบดีว่า งานนี้"สุดหิน" จึงได้ประสานขอความร่วมมือไปยังกองปราบปราม ที่มีความเชี่ยวชาญ และมีความชำนาญในการคลี่คลายคดีที่สลับซับซ้อนมากกว่า ในขณะเดียวกัน ตำรวจสน.ทุ่งมหาเมฆก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พร้อมให้ความร่วมมือเต็มที่
เมื่อได้รับการประสานจากตำรวจท้องที่มา "เดอะกิ๊ก" พล.ต.ต.พงษ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบก.ป. สั่งการทันทีให้"ผู้กำกับต๊อก" พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1ป. ไปจัดมือสืบสวนชั้นดี เข้าไปคลี่คลายคดี และแกะรอยคนร้ายรายนี้ให้ได้ ซึ่งหลังรับคำสั่ง "ผู้กำกับต๊อก" เรียกประชุมทีมงาน ประกอบด้วย พ.ต.ท.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ พ.ต.ท.ณัฐกร ประภายนต์ รอง ผกก.1 บก.ป.พ.ต.ต.พุทธพงศ์ เมฆเอี่ยมนภา และร.ต.อ.ศานุวงศ์ คงคาอินทร์ สว.กก.1 พร้อมทีมสืบสวนที่รู้ใจกันมานาน จากนั้นทั้งหมดไม่รอช้า ลงพื้นที่หาหลักฐานเพิ่มเติมทันที
หลังฐานที่ตำรวจท้องที่สน.ทุ่งมหาเมฆ ดำเนินการตรวจสอบในเบื้องต้นหลังเกิดเหตุพบว่า คนร้ายปีนข้ามกำแพงด้านหลังบริษัทเข้าไป จากนั้นได้งัดกระจกเข้าไปในตัวอาคาร แล้วขึ้นไปบนชั้น 2 ซึ่งเป็นห้องเก็บตู้เซฟ ฉกเครื่องประดับเพชร สร้อยคอ-กำไลเพชร 5 ชุดใหญ่ ต่างหู แหวน เข็มกลัด รวมแล้วกว่า 4,000 ชิ้น หลบหนีไป
นั่นเป็นเพียงร่องรอยของคนร้าย ซึ่งพยานหลักฐานต่างๆ อาทิ ลายนิ้วมือแฝง จะเป็นประโยชน์ก็ต่อเมื่อ ใช้เป็นหลักฐานมัดตัวคนร้าย หลังจากที่ตำรวจจับกุมตัวได้และส่งเรื่องให้ศาลเป็นผู้พิจารณาพิพากษาความผิด แต่หลักฐานต่างๆในเบื้องต้น ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ทีมสืบสวนของ"ผู้กำกับต๊อก" สามารถเจาะลึกลงไปถึงตัวคนร้ายได้ว่าเป็นใคร?
การตรวจสอบหาพยานหลักฐานจากที่เกิดเหตุของทีมสืบสวน จากกล้องวงจรปิดของ"บิวตี้เจมส์"เอง ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรมากนักกับทีมสืบสวน แต่กล้องวงจรปิด ที่ทีมสืบสวนไปแคะมาจากบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงของ"บิวตี้เจมส์" กลับเป็นกุญแจดอกสำคัญในการพิชิตคดีนี้ได้อย่างสิ้นเชิง
ในภาพของกล้องวงจรปิดตัวหนึ่ง ทีมสืบสวนพบภาพ"รถกระบะ"ต้องสงสัยคันหนึ่ง จอดอยู่ไม่ไกลจาก"บิวตี้เจมส์"มากนัก และด้วยเทคนิคพิเศษทางเทคโนโลยี ทำให้ทีมสืบสวนได้หมายเลขทะเบียนรถกระบะต้องสงสัยคันนั้นในเวลาไม่นานต่อมา ซึ่งเมื่อทำการตรวจสอบ จึงพบเจ้าของรถผู้ครอบครองชื่อ นายดนัย รายเวทย์ อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 59/56 วัชรพลคอนโดมิเนียม ถ.สุขาภิบาล 5 แขวงออเงิน เขตสายไหม กทม.
ไม่รอช้า ทีมสืบสวนสั่งเช็คประวัติ"ดนัย" ไปยังกองทะเบียนประวัติอาชญากรในทันที จนพบว่า "ดนัย"รายนี้ ต้องสงสัยว่าจะเป็นหนึ่งในคนร้ายที่เข้าไปโจรกรรมเครื่องเพชรล็อตมโหฬารล็อตนี้ เพราะตามประวัติพบว่า เคยก่อคดีลักทรัพย์มาอย่างโชกโชน ในหลายท้องที่ ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด พ้นโทษจากเรือนจำมาเมื่อปี 2547 ถือเป็น"ตีนแมว"มือฉมังระดับแนวหน้าคนหนึ่งในแฟ้มประวัติอาชญากรของตำรวจ ทว่าการจับกุมตัวต้องมีพยานหลักฐานที่จะต้องมัดคนร้ายให้ดิ้นไม่หลุด
เมื่อได้"เป้า" พ.ต.อ.พรศักดิ์ สั่งให้ทีมสืบสวน ไปเฝ้าติดตามพฤติกรรม"ดนัย"ไว้หลายวันหลายคืน ทำให้ทีมสืบสวนค่อนข้างมั่นใจว่า "ดนัย" เข้าข่ายคนร้ายที่เข้าไปโจรกรรมเครื่องเพชรในครั้งนี้ค่อนข้างสูง เพราะพฤติกรรมการใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย อีกทั้งเดินสายเข้าออกบ่อนโน้น บ่อนนี้เป็นว่าเล่น วันดีคืนดีก็ควงคู่หู ตระเวณเที่ยวสถานบันเทิง เดินสายเล่นการพนัน ทำให้ทีมสืบสวนต้องเช็กประวัติวุ่นวายกันอีกครั้ง สำหรับเพื่อนคู่หูของ"ดนัย" จนพบว่า ที่แท้ไม่ใช่ใครอื่น เป็นนายประเสริฐ ฉัตรอมรโชติกุล อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 82/ 137 หมู่ 8 แขวง-เขตจอมทอง กทม. มีประวัติต้องคดีรับของโจรในท้องที่สน.โชคชัย และเคยติดคุกกับ"ดนัย"ร่วมกันมาพร้อมๆกัน จึงต้องส่งทีมสืบสวนอีกชุดตามประกบ"ประเสริฐ"ไว้ไม่ให้คาดสายตา
ข้อมูลต่างๆเบื้องต้น ยังไม่เพียงพอที่จะเช้าล็อกตัว"เป้า"ได้ ทีมสืบสวนอีกชุด ได้แกะรอยกระแสการเงินของ"ดนัย" ก็พบว่ามีเงินเข้าออกบัญชีเป็นจำนวนมาก รวมเป็นตัวเลขไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท ทั้งยังมีการนำเช็คเงินสดไปขึ้นเงินที่ธนาคารกสิกรไทย สาขามีนบุรีด้วย ทีมสืบสวนจึงปักใจเชื่อ 100 เปอร์เซ็นว่า "ดนัย"น่าจะเป็นคนร้ายรายนี้ ไม่มีผิดตัว เพราะกระแสการเงิน และพติกรรมการดำรงชีวิตที่เป็นอยู่ค่อนข้างฟุ่มเฟือย ซึ่งเพิ่งน่าจะลงมือทำงานใหญ่มาไม่นาน
การเฝ้าติดตามพฤติกรรม"ดนัย" และการดำเนินการสอบสวนหาพยานหลักฐานต่างๆใช้เวลาเกือบแรมเดือน จนทีมสืบสวนมั่นใจว่าไม่ผิดตัว "ผู้กำกับต๊อก"จึงไฟเขียว ให้ล็อตตัวทันที่ที่สบโอกาส กระทั่งเมื่อวันที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมา หลังเกิดเหตุเกือบ 1 เดือนเต็ม ทีมสืบสวนชุดแกะรอย พบ"ดนัย"กำลังเดินออกจากร้านทองแห่งหนึ่งในตลาดมีนบุรี ไม่มีการรอช้า ทีมสืบสวนเข้าจับกุมทันที และเมื่อตรวจค้นตัว ก็พบของกลางเป็นเครื่องประดับแหวนเพชร และจี้เพชร กว่า 30 รายการ จากนั้นคุมตัวมาสอบสวนที่กองปราบปราม
ยังไม่ทันที่ทีมสืบสวนต้องง้างปาก "ดนัย"ก็สารภาพออกมาสิ้นไส้ อันเป็นสันดานของบรรดาตีนแมวอาชีพ ว่าร่วมกับ"ประเสริฐ" เพื่อนคู่หู เข้าไปโจรกรรมเครื่องเพชรใน"บิวตี้เจมส์"จริง ทีมสืบสวนที่ตามประกบ"ประเสริฐ"อยู่ จึงเข้าชาร์จจับกุม"ประเสร็ฐ"ได้ทันทีเช่นกันที่บ้านเช่าไม่มีเลขที่ บนถนนราชพฤกษ์ เขตภาษีเจริญ กทม. พร้อมรถยนต์อีซูซุ รุ่นมิวเซเว่น สีดำ ทะเบียน ฌว 5285 กทม. ที่มีเครื่องเพชร ทั้งสร้อยเพชร จี้เพชร กำไลเพชร ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในรถคันดังกล่าวกว่า 3,000 ชิ้น โดยมีพลอยบราซิล สีฟ้า "บลูโทปาซ"รวมอยู่ด้วย
"ดนัย"รับสารภาพว่า รู้จักมักคุ้น และสนิทสนมกับ"ประเสริฐ" ครั้งตั้งแต่ติดคุกอยู่ในเรือนจำด้วยกันแล้ว และหลังพ้นโทษตั้งแต่ปี 2547 มา ก็จับคู่ตระเวณลักทรัพย์ด้วยกันเรื่อยมา แต่ละครรั้ง ไม่มีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน การลงมือขึ้นอยู่กับความสะดวก โดยเงินที่ได้ จะนำมาแบ่งกัน ตระเวณท่องราตรี และเดินสายเข้าบ่อนด้วยกัน จนกระทั่งมาถูกจับในครั้งนี้
"ในวันเกิดเหตุ ช่วงเวลาประมาณตีหนึ่ง ผม 2 คนออกตระเวนหาเป้าหมายเหมือนเดิม พอดีผ่านไปยังบริษัทดังกล่าว สังเกตเห็นเป็นบริษัทค้าอัญมณีรายใหญ่ ก็เลยพากันเดินสำรวจ จนไปพบว่า ที่บริเวณด้านหลังของบริษัท ซึ่งติดกับอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง เป็นจุดอับ การป้องกันไม่ดีพอ จึงพากันปีนรั้วเข้าไป และใช้ไขควงเลาะขอบกระจกใกล้ประตูจนแตก แล้วก็เปิดประตูเข้าไปเข้าไปในอาคาร ขึ้นไปบนชั้นสอง เจอตู้เซฟ ก็ใช้อุปกรณ์ที่ติดตัวไปด้วยงัด เอาทรัพย์สินภายในตู้ออกมาทั้งหมด ก่อนจะหลบหนีออกมา โดยใช้เวลาตั้งแต่เที่ยงคืนจนเกือบถึงตีสาม เมื่อปลอดคนก็รีบหลบหนีออกมา ส่วนทรัพย์สินที่ได้ ก็นำไปขายกับร้านทองที่เคยไปขายเป็นประจำ ซึ่งมีอยู่หลายๆ แห่งทั่วกรุงเทพฯ แต่ละครั้งก็จะขายครั้งละน้อยๆ เพราะกลัวจะผิดสังเกต จนกระทั่งมาถูกจับ"ดนัยให้การ
"ไป...ส่งตัวมันไปให้ท้องที่ดำเนินคดี" เสียงพ.ต.อ.พรศักดิ์สั่งการ พร้อมกับลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะไม่รู้ว่า หลังจากที่เจ้า 2 ตีนแมวมหาภัยคู่นี้พ้นโทษออกมาอีก สุจริตชนจะต้องเดือดร้อนอีกหรือไม่