ดีเอสไอร่วมกับหน่วยงานด้านปราบปรามยาเสพติด บุกตรวจค้นจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ภาคใต้ได้ผู้ต้องหา 3 ราย พร้อมยึดทรัพย์ที่นำมาฟอกเงินธุรกิจโรงแรม มูลค่า 30 ล้านบาท
วันนี้ (10 ก.ย.) พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.บรรจบ อยู่ยืนยง และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ พนักงานสอบสวนชุดปฏิบัติการพิเศษ และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส.สำนักงาน ปปง.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กว่า 40 คน พร้อมสุนัขตำรวจ เข้าตรวจค้น อาคาร เอ็น.เอส.แมนชั่น เลขที่ 9/2-4 ถ.ชีอุทิศ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และอาคารอื่นรวม 10 แห่ง ยึดทรัพย์สินมูลค่า 30 ล้านบาท และจับกุมผู้ต้องหา 3 ราย ประกอบด้วย นายสนธิศักดิ์ ไตรจุฑากาญจน์ อายุ 42 ปี 2.น.ส.กุลพร เลิศชโลธร อายุ 59 และ นางวนิดา ปิติเศรษฐโกศล อายุ 45 ปี
จากการสอบสวน พบว่า ผู้ต้องหาทั้งสามได้ร่วมกันนำทรัพย์สินเกี่ยวกับการกระทำความผิดของญาติที่เป็นเครือข่ายยาเสพติด และถูกจับกุมก่อนหน้านี้แล้วนำมาลงทุนในธุรกิจ ร.ร.เหอเจียแกรนด์โฮเต็ล และ หจก.ไทยเจริญด่านนอก เพื่อให้เข้าสู่ระบบบัญชี และให้เข้าใจว่า ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย และมีการจำหน่ายจ่ายโอนอสังหาริมทรัพย์ในลักษณะปกปิด เบื้องต้นได้แจ้งข้อหาความผิดฐานฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยมาตรการในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2552 มาตรา 5 ประกอบ มาตรา 3(1)
คดีดังกล่าวสืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 13 ม.ค.2549 ดีเอสไอได้จับกุม นายสุรวุฒิ ชินวุฒิวงศ์, นายวิเชียร ไตรจุฑากาญจน์ กับพวกรวม 9 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ถูกขึ้นบัญชีไว้ที่ศูนย์ต่อสู้เอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ และได้ร่วมกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และแหล่งเงินกู้นอกระบบ โดยเจ้าหน้าที่ได้ยึดทรัพย์สินจากการกระทำผิดดังกล่าว ประกอบด้วยเงินฝากธนาคาร 50 บัญชี 25 ล้านบาท เงินสด ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ยานพาหนะ เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ และกิจการโรงแรมเหอเจีย แกรนด์โฮเต็ล บริษัท สตูลอินดัสตรี้ส์ บริษัท ที.เจ.ที.เค.ทรานสปอร์ต หจก.ไทยเจิญด่านนอก รวมมูลค่ากว่า 213 ล้านบาท โดยจากการจับกุมครั้งนี้ผู้กระทำความผิดมีทรัพย์สินที่ได้จากการค้ายาเสพติดจำนวนมาก และมีการจัดตั้งนิติบุคคลขึ้นเพื่ออำพรางรายได้จากการค้ายาเสพติด เปิดบัญชีธนาคารไว้เป็นจำนวนมากเพื่อถ่ายโอนเงิน ในลักษณะอันเป็นธุรกรรมต้องสงสัยและมีการรับโอนเงินจากผู้มีประวัติ ค้ายาเสพติด ทำให้สามารถนำมาหมุนเวียนใช้ทำผิดได้อีก คณะกรรมการคดีพิเศษได้มีมติให้ดำเนินคดีอาญาฐานฟอกเงิน ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 กับกลุ่มเครือข่ายค้ายาเสพติด ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.2550 ศาลอาญาได้พิพากษาลงโทษจำคุกนายวิเชียร และ นายสุรวุฒิ คนละ 15 ปี เป็นคดีแดง ที่ อ. 1841/2550
วันนี้ (10 ก.ย.) พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.บรรจบ อยู่ยืนยง และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ พนักงานสอบสวนชุดปฏิบัติการพิเศษ และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส.สำนักงาน ปปง.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กว่า 40 คน พร้อมสุนัขตำรวจ เข้าตรวจค้น อาคาร เอ็น.เอส.แมนชั่น เลขที่ 9/2-4 ถ.ชีอุทิศ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และอาคารอื่นรวม 10 แห่ง ยึดทรัพย์สินมูลค่า 30 ล้านบาท และจับกุมผู้ต้องหา 3 ราย ประกอบด้วย นายสนธิศักดิ์ ไตรจุฑากาญจน์ อายุ 42 ปี 2.น.ส.กุลพร เลิศชโลธร อายุ 59 และ นางวนิดา ปิติเศรษฐโกศล อายุ 45 ปี
จากการสอบสวน พบว่า ผู้ต้องหาทั้งสามได้ร่วมกันนำทรัพย์สินเกี่ยวกับการกระทำความผิดของญาติที่เป็นเครือข่ายยาเสพติด และถูกจับกุมก่อนหน้านี้แล้วนำมาลงทุนในธุรกิจ ร.ร.เหอเจียแกรนด์โฮเต็ล และ หจก.ไทยเจริญด่านนอก เพื่อให้เข้าสู่ระบบบัญชี และให้เข้าใจว่า ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย และมีการจำหน่ายจ่ายโอนอสังหาริมทรัพย์ในลักษณะปกปิด เบื้องต้นได้แจ้งข้อหาความผิดฐานฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยมาตรการในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2552 มาตรา 5 ประกอบ มาตรา 3(1)
คดีดังกล่าวสืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 13 ม.ค.2549 ดีเอสไอได้จับกุม นายสุรวุฒิ ชินวุฒิวงศ์, นายวิเชียร ไตรจุฑากาญจน์ กับพวกรวม 9 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ถูกขึ้นบัญชีไว้ที่ศูนย์ต่อสู้เอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ และได้ร่วมกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และแหล่งเงินกู้นอกระบบ โดยเจ้าหน้าที่ได้ยึดทรัพย์สินจากการกระทำผิดดังกล่าว ประกอบด้วยเงินฝากธนาคาร 50 บัญชี 25 ล้านบาท เงินสด ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ยานพาหนะ เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ และกิจการโรงแรมเหอเจีย แกรนด์โฮเต็ล บริษัท สตูลอินดัสตรี้ส์ บริษัท ที.เจ.ที.เค.ทรานสปอร์ต หจก.ไทยเจิญด่านนอก รวมมูลค่ากว่า 213 ล้านบาท โดยจากการจับกุมครั้งนี้ผู้กระทำความผิดมีทรัพย์สินที่ได้จากการค้ายาเสพติดจำนวนมาก และมีการจัดตั้งนิติบุคคลขึ้นเพื่ออำพรางรายได้จากการค้ายาเสพติด เปิดบัญชีธนาคารไว้เป็นจำนวนมากเพื่อถ่ายโอนเงิน ในลักษณะอันเป็นธุรกรรมต้องสงสัยและมีการรับโอนเงินจากผู้มีประวัติ ค้ายาเสพติด ทำให้สามารถนำมาหมุนเวียนใช้ทำผิดได้อีก คณะกรรมการคดีพิเศษได้มีมติให้ดำเนินคดีอาญาฐานฟอกเงิน ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 กับกลุ่มเครือข่ายค้ายาเสพติด ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.2550 ศาลอาญาได้พิพากษาลงโทษจำคุกนายวิเชียร และ นายสุรวุฒิ คนละ 15 ปี เป็นคดีแดง ที่ อ. 1841/2550