ปัง ปัง ปัง! บรื้นๆๆๆๆ หลังสิ้นเสียงปืนและเสียงรถ จยย.ร่างของปลัด อบจ.วัย 57 ปี ก็ล้มลงอยู่ที่ศาลพระพรหม ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าทางเข้า อบจ.ปทุมธานี ท่ามกลางสายตาและความตกตะลึงของผู้คนที่อยู่ในละแวกนั้น คนขับรถและเจ้าหน้าที่ต่างพากันวิ่งมาที่ศาลพระพรหม อุ้มร่างอันโชกเลือดของปลัดสาว ส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงเป็นการเร่งด่วน ข้าราชการภายใน อบจ.จำนวนมากต่างพากันมามุงดูและซุบซิบต่อๆกัน ถึงเหตุสะเทือนขวัญที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมาถึง
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าในสถานที่ราชการ ซึ่งตั้งอยู่ในตัวเมือง และเต็มไปด้วยผู้คน จะเกิดเหตุการณ์ลอบสังหารข้าราชการระดับสูง อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย ช่วงเวลา 08.30 น.ของวันที่ 24 สิงหาคม 2552 นางสิริณัฏฐ์ จตุรพรชัย อายุ 57 ปี หรือที่รู้จักกันดีในนาม “ปลัดอั๊ง” ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานี กำลังสักการะศาลพระพรหม อยู่ภายในบริเวณที่ทำกา รอบจ.ปทุมธานี แต่ยังไม่ทันที่จะเสร็จสิ้นพิธี “มือปืน” ก็ตรงเข้ามาลั่นไกหมายปลิดชีวิตเธอต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทันที ทว่าผลงานของโจรใจบาปครั้งนี้ กลับสร้างความผิดหวังให้กับ “ผู้บงการ” ที่สู้อุตส่าห์วางแผนหวังกำจัดเสี้ยนหนามที่ทำให้เสียผลประโยชน์มาหลายครั้งหลายครา แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะหลังจากเกิดเหตุ แพทย์ช่วยชีวิตเธอไว้ได้อย่างปลอดภัย
ถึงแม้ว่าข่าวการลอบสังหารปลัดสาวจะผ่านมานานหลายสัปดาห์แล้ว แต่ประชาชนก็ยังคงให้ความสนใจ และคอยจับตาการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าจะสามารถจับกุมตัว โจรใจบาปพร้อมกับนายที่ว่าจ้างมันมาลงโทษได้หรือไม่ งานนี้เป็นที่รู้กันดีว่าผู้บงการไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นมัชจุราชที่แฝงตัวอยู่ในคราบของข้าราชการระดับสูงที่มีคนนับหน้าถือตานั่นเอง ชนวนเหตุสำคัญตั้งแต่แรกเริ่มจนกระทั่งเกิดการลอบยิงก็คือเรื่อง “งาน” ทื่โยงใยไปถึงการเมืองท้องถิ่น ไม่ใช่ประเด็นส่วนตัวหรือเรื่องชู้สาวที่มีคนพยายามจะเบี่ยงเบน แต่หลักฐานที่อยู่ในมือตำรวจยังไม่เพียงพอที่จะลากตัวโจรใจบาป และกระชากหน้ากากผู้บงการมาลงโทษได้
จุดเริ่มต้นฉนวนเหตุ
ฉนวนเหตุความบาดหมางเรื่องงานภายใน อบจ.ที่ทำให้"ปลัดอั๊ง"ถูกคุกคามด้วยวิธีการต่างๆ นานาจนกระทั่งถูกลอบยิง เริ่มต้นมาจากกลางปี 2551 ได้มีการประมูลซื้อที่ดินก่อสร้างที่ทำการองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี หลังใหม่ พื้นที่ 20 ไร่ โดยเสนองบประมาณไปมูลค่ากว่า 105 ล้านบาท ซึ่งขณะนั้น “ปลัดอั๊ง” ในฐานะปลัด อบจ. ขึ้นรักษาการในตำแหน่งนายก อบจ. และเป็นประธานคณะกรรมการประมูลซื้อที่ดิน โดย “ปลัดอั๊ง” สามารถต่อรองราคาจนสามารถซื้อที่ดินดังกล่าวได้ในราคาเพียง 83 ล้านบาท จากงบประมาณเดิมที่ตั้งไว้ 105 ล้านบาท
ระหว่างที่ "ปลัดอั๊ง"ปฏิบัติหน้าที่นายกอบจ. ได้มีการสนับสนุนเงินให้กับโครงการต่างๆที่เป็นประโยชน์ ทั้งเรื่องการโอนงบประมาณจำนวน 6.5 ล้าน ไปสนับสนุนการสร้างเขื่อนวัดโบสถ์ เนื่องจากน้ำกำลังจะท่วม โอนเงินไปอุดหนุนโรงเรียนจุฬาภรณ์เรื่องน้ำประปา เนื่องจากเด็กไม่มีน้ำประปาใช้ ซึ่งการสนับสนุนโครงการทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผู้ดำรงตำแหน่งนายก อบจ.ควรจะกระทำ เพื่อประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่
เมื่อมีการหวนกลับคืนมาสู่อำนาจ ความไม่พอใจบางสิ่งบางประการก็เกิดขึ้นกับ “ปลัดอั๊ง” ทำให้แผนปฏิบัติการ “เด็ดหัว” ให้ออกจากเส้นทางที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์จึงก่อตัวขึ้น
“แผนแรก” มีการออกคำสั่งให้ “ปลัดอั๊ง” พร้อมลูกน้องอีก 6 คน ไม่ได้รับการเลื่อนขึ้นเงินเดือนและโบนัส และหากมีการเสนอชื่อ “ปลัดอั๊ง” เป็นกรรมการดำเนินงานในเรื่องใด ก็จะถุกขีดชื่อออกทันที รวมทั้งยังมีการแต่งตั้งให้ลูกน้องใน อบจ.มาเป็นผู้ประเมินการทำงานของ “ปลัดอั๊ง” ซึ่งผิดหลักการบริหาร ทำให้มีการยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครอง โดยในที่สุด “ปลัดอั๊ง” ก็ชนะคดี
“แผนสอง” มีการเล่นงาน “ปลัดอั๊ง” ที่ได้เคยโอนเงินไปสนับสนุนโครงการต่างๆ ด้วยการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ แต่แล้วผลที่ออกมาก็คือ ไม่พบมูลความผิด ทำให้มีการฟ้องกลับเรียกค่าเสียหาย แต่ก็มีการยอมความกัน ซึ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา “ปลัดอั๊ง” ก็มีเรื่องราวฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลกับคู่กรณีมาตลอด
“แผนสาม” มีหนังสือจากสำนักรัฐมนตรี เลขที่ มท 0100/2271 เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2552 เรื่องมีความประสงค์ขอยืมตัวนาง สิริณัฎฐ์ จตุรพรชัย ตำแหน่งปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ไปช่วยปฏิบัติราชการที่สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย เพื่อปฏิบัติหน้าที่ราชการให้แก่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์) ตามมาด้วยหนังสือคำสั่งขององค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี สั่งให้นางสิริณัฎฐ์ จตุรพรชัย ตำแหน่งปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ไปช่วยปฏิบัติราชการที่สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทยเป็นเวลา 6 เดือน โดยให้ขาดจากหน้าที่ในตำแหน่งเดิม ตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน - 21 ตุลาคม 2552 เรื่องดังกล่าว ทำให้ “ปลัดอั๊ง” เห็นว่าไม่เป็นธรรม จึงไปยื่นขอความคุ้มครองจากศาลปกครองอีกครั้ง พร้อมทั้งทำหนังสือชี้แจงกลับไปถึงความไม่สมัครใจ ไปยังนายบุญจง ซึ่งก็ได้รับการเยียวยา จนได้กลับมาทำงานที่เดิมได้ตามปกติ
“แผนสี่” หลังจากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองท้องถิ่นกับผู้บริหารระดับสูงจนหมดอำนาจวาสนาไปแล้ว แต่แผนการเล่นงาน “ปลัดอั๊ง” ยังคงถูกกระทำอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสั่งย้ายให้ “ปลัดอั๊ง” ไปดูแลอาคารแพขาว ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นเรือนไม้เก่าแก่ที่ประทับของรัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งเสด็จประพาส จ.ปทุมธานี และให้ดูแลสนามกีฬาที่มีน้ำท่วมตลอดปี อีกทั้งยังถือวิสาสะย้ายห้องทำงานของ “ปลัดอั๊ง” จากชั้น 2 ขึ้นไปชั้น 3 ทำให้ “ปลัดอั๊ง” ต้องฟ้องร้องต่อศาลปกครองอีกครั้ง
“เราเป็นข้าราชการระดับ 9 ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้รับสายสะพายสาย 2 แต่เขากลับให้เราไปดูแลอาคารแพขาว เหมือนกับให้ไปเป็นคนเฝ้าอาคารโบราณสถาน เป็นคนทำความสะอาดอาคาร เราเห็นว่าไม่ถูกต้องจึงยื่นฟ้องศาลปกครองขอกลับไปประจำองค์การ ขณะนี้ศาลปกครองก็มีคำสั่งให้กลับไปปฏิบัติหน้าที่เดิมแล้ว เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 27 ส.ค.52 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ระหว่างที่ไปประจำอยู่ที่อาคารแพขาวก็ถูกข่มขู่คุกคามจนรู้สึกหวาดผวา เริ่มจาก มีชายฉกรรจ์ 3 คน สวมชุดดำ ใส่แว่นตาดำ ท่าทางดุดันราวกับเพชฌฆาต บุกเข้าไปที่อาคารแพขาวและสอบถามกับเจ้าหน้าที่ว่าเรามาทำงานหรือยัง ปกติจะมาเวลาไหน ทำให้เราต้องไปแจ้งความเอาไว้และไปทำงานไม่เป็นเวลา” ปลัดอั๊งเปิดใจ
“การคุกคามเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ เหตุการณ์ที่รู้สึกว่าถูกคุกคามอย่างหนักก่อนจะถูกลอบยิง คือมีคนเอาพวงหรีดมาวางที่หน้าบ้าน การส่งข้อความมาว่า “กูยังอยู่โว้ย” สุนัขที่บ้านถูกวางยาตายไป 2 ตัวและยังมีการเล่นไสยศาสตร์ โดยการเอาตอกที่พันขาไก่มาวางไว้ที่หน้าบ้าน ซึ่งดิฉันไม่ได้งมงาย มันไม่มีผลต่อชีวิต แต่มันทำให้ดิฉันและครอบครัวหวาดระแวงว่าจะถูกทำร้ายจนถึงชีวิต ซึ่งมันก็เป็นจริงอย่างที่คิด ลูกน้องก็มาบอกว่าเขาเอารูปถ่ายดิฉันและลูกน้องอีก 6 คนที่ไปยื่นฟ้องศาลปกครองไปให้มือปืนดู โดยบอกว่าถ้าเจอที่ไหนให้ยิงทิ้งให้หมด ส่วนลูกสาวจะลากไปข่มขืนยังไงก็ได้ ดิฉันจึงไปแจ้งความเอาไว้ ซึ่งก็มีใบแจ้งความอยู่ ที่ลูกน้องรู้ เพราะถูกตามและไปเช็คจากซุ้มมือปืน จากนั้นก็มีข่าวออกมาว่าจะยิงหัวดิฉัน 3 นัด คนใกล้ชิดดิฉันมาบอกอีกว่า เขาไปติดต่อมือปืนแถวปราจีนบุรี แต่มือปืนที่นั่นไม่ทำ เพราะไม่มีนโยบายยิงเด็ก ผู้หญิง และคนแก่”
เผยวินาทีชีวิต
“หลังจากรู้ตัวว่าถูกคุกคามก็ระวังตัวมาตลอด เรารู้ว่าจะถูกลอบยิงแต่ไม่รู้ว่า ก่อนหน้านี้ไม่มีลางสังหรณ์ หรือสัญญาณอะไร เราระวังเป็นพิเศษเวลากลับบ้านและไปข้างนอก เราไม่ได้ประมาทเพราะคิดว่าในสถานที่ราชการคงไม่น่าจะมีใครกล้าทำอะไรโดยเฉพาะต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่แล้วก็เกิดขึ้นอีกจนได้ วินาทีนั้นได้ยินเสียงปืนมาจากด้านข้าง เราไม่ทันตั้งตัวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถูกยิงมันชาไปหมด จากนั้นก็ค่อยๆล้มลง ลูกน้องเล่า ว่าทุกคนพากันมาช่วยเรา และมีพนักงานขับรถตามคนร้ายไป แต่ก็ไปคลาดกันตรงแถวคูบางหลวง เรามารู้สึกตัวอีกทีก็คืออยู่โรงพยาบาลแล้ว ชีวิตเราเปลี่ยนไปมากนะตั้งแต่ถูกคุกคาม ต้องระวังตัวอยู่ตลอด ไปไหนก็ลำบากชีวิตประจำวันบางอย่างขาดหายไป บางทีก็เหมือนนักโทษที่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ จะไปเดินซื้อของซื้อดอกไม้ก็ลำบาก ใครที่จะเข้ามาใกล้เราก็จะโดนหมายหัวเอาไว้ ทำให้ไม่มีใครกล้ามายุ่งกับเรา ที่บ้านต้องติดกล้องวงจรปิดทุกมุม ตอนนี้หลังจากเกิดเหตุลุกสาวก็ยังไม่กล้าออกไปไหน เราไม่ห่วงตัวเองหรอก จะห่วงก็แต่ลูกสาว 2 คน เรามีกันแค่ 3 คนแม่ลูก และเป็นผู้หญิงกันหมดต้องคุ้มครองตัวเอง ซึ่งทุกอย่างที่เราถูกกระทำก็ไปร้องเรียนทุกที่และแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน แต่ตำรวจก็มองว่าเป็นเรื่องล้อเล่น ยังหัวเราะด้วยซ้ำ เหมือนกับว่าโธ่เอ้ย ! ผู้หญิงตัวเล็กๆคนเดียวแค่นี้ใครจะมาทำอะไร เขามองว่าเป็นเรื่องตลก แต่เราไม่ตลกเลย” ปลัดอั๊งบอกเหมือนต้องการระบายความอัดอั้นตันใจ
นางสาวชญาน์พิมพ์ จตุพรชัย หรือทอฟฟี่ วัย 30 ปี ลูกสาวคนโตของปลัดอั๊ง เปิดเผยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า ก่อนหน้านี้ทุกคนก็ใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุข ไหว้พระทำบุญ ไปเที่ยวกันเป็นครอบครัว เมื่อก่อนทำงานเป็นนักข่าวด้านบันเทิง น้องสาวเรียนกราฟิกดีไซน์ แต่หลังจากที่เกิดเรื่องทำให้ต้องออกจากงาน น้องไม่ได้ไปเรียน เพราะมีคนคอยตามตลอด ตนเองต้องหันมายึดอาชีพนักเขียนอยู่ที่บ้านเพื่อดูแลแม่และน้อง ทุกวันนี้เราต้องอยู่อย่างหวาดผวา คอยนั่งดูกล้องวงจรปิดกันที่บ้าน กว่าจะได้เข้านอน ใช้ชีวิตประจำวันได้ไม่เหมือนคนปกติทั่วไป ต้องเก็บตัวอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม
“ขนาดหมาซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงที่ส่งเสียงเห่าตามสัญชาตญาณของมันไปวันๆ ไม่มีพิษภัยอะไร ยังถูกคนของเขาวางยาเบื่อตาย ไม่รู้ว่าจิตใจทำด้วยอะไร แต่สำหรับทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราอโหสิกรรมให้กับเขา เราไม่จองเวร แต่สิ่งใดที่ใครทำเอาไว้สักวันก็ต้องได้รับกรรม เราไม่มีความผิดอะไร แม่เราเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่ข้าราชการของนักการเมือง ที่สำคัญเรารู้อยู่เต็มอกว่าใครเป็นคนทำแต่ตำรวจก็ บอกว่ายังไม่มีหลักฐาน ตอนนี้ได้แต่หวังว่าตำรวจจะลากตัวคนผิดมาลงโทษได้ในที่สุด”ทอฟฟี่ กล่าว
ปฏิบัติการล่ามือปืน
หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนภาค สืบสวนจังหวัดปทุมธานี และ ชุดสืบสวนทุกสภ. ภายในจังหวัดร่วมกันทำงาน โดยมีการประชุมติดตามความคืบหน้าของคดีเกือบทุกวัน พล.ต.ต.คำรณวิทย์บอกว่า คดีนี้แบ่งชุดกันทำงาน ขณะเดียวกันก็ได้หลักฐานบางอย่างจาก 1.พยานในที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นจุดที่คนร้ายไปคอยผู้เสียหาย ตั้งแต่ 07.00 น.ก่อนลงมือ และเรื่องยานพาหนะคนร้าย 2.พยานที่เห็นเหตุการณ์ที่นำมาออกภาพสเกตซ์ ส่วนหัวกระสุนที่ได้ก็อยู่ระหว่างการตรวจสอบ แต่แนวโน้มน่าจะเป็นปืนขนาด.38 กระสุนขนาด .357 เนื่องจากไม่มีปลอกอยู่ในที่เกิดเหตุ นอกจากนี้ ในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมาได้ให้ตำรวจลงไปเช็กในพื้นที่ จ.ปทุมธานี และต่างจังหวัดที่คาดว่าน่าจะเป็นที่มาของมือปืนส่วน
ขัด “ผลประโยชน์” ชนวนสังหาร
“รองแจ๊ส” บอกว่า คดีนี้สรุปไสาเหตุที่ทำให้ปลัด อบจ.ถูกลอบยิง ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ฟันธงได้ว่าเป็นเรื่องที่ทำงาน เกี่ยวกับผลประโยชน์ความขัดแย้งใน อบจ. จึงมีการเชิญตัวทุกคนที่คาดว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง รู้เรื่องราวความขัดแย้งที่เกิดขึ้น รวมไปถึงผู้ที่ตกเป็นข่าวว่า มีความขัดแย้งกับปลัดอั๊ง มาสอบปากคำ ไม่ว่าจะเป็นนายชาญ พวงเพ็ชร์ นายก อบจ.คนเก่า และนายสาคร อำภิน นายกอบจ.คนใหม่ แต่พนักงานสอบสวนยังสอบปากคำไม่หมดจึงยังไม่พบว่ามีพิรุธหรือมีข้อสงสัยใดๆ เบื้อต้นได้พูดคุยกับ ทั้ง 2 คนแล้ว ซึ่งเป็นธรรมดาทุกคนก็ต้องปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง แต่ก็ต้องดูว่าหลักฐานมันสาวไปถึงไหน ส่วนภาพสเกตซ์ที่มีอยู่ก็ยังไม่เพียงพอในการที่จะไปขออนุมัติออกหมายจับจากศาล ต้องมีหลักฐานอื่นๆ เพิ่มเติม
“เรื่องนี้เป็นมวยล้มไม่ได้หรอก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าอุกอาจมือปืนลอบสังหาร ข้าราชการระดับสูงภายในสถานที่ราชการต่อหน้าคนโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ในที่ประชุมเราก็เร่งรัดกันอยู่แล้ว แต่ไม่อยากรีบร้อนจนเกินไปให้เวลาเจ้าหน้าที่ตำรวจทำงาน เพื่อที่จะได้จับตัวคนผิดตัวจริงมาลงโทษให้ได้ ไม่ใช่จับแพะ” รองแจ๊ส กล่าว
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นจริงกับชีวิตของปลัด อบจ.หญิง ข้าราชการระดับสูงคนหนึ่ง ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตมาโดยตลอด ชีวิตถูกแขวนไว้บนเส้นด้าย แถมถูกลอบยิงจนแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่ปลัดสาวคนนี้ก็ยังยืนยันที่จะกลับมาทำงานในตำแหน่งเดิม หลังจากที่ร่างกายหายเป็นปกติดีแล้ว ส่วนการติดตามจับกุมตัวคนชั่วมาลงโทษนั้นคงต้องเป็นหน้าที่ของผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็น “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” หรือจะปล่อยให้คนร้ายลอยนวลจนต้องมีคนดีๆ ตกเป็นหยื่อ แล้วต้องสังเวยชีวิตอีกศพแล้วศพเล่า