กลายเป็นจุดโฟกัสของสายตาแทบทุกคู่ กับการประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ที่จะมีขึ้นในเวลา 16.00 น.วันที่ 20 สิงหาคม 2552 ณ ทำเนียบรัฐบาล
นั่นเพราะจะมีการหารือเพื่อกดปุ่มเลือกแม่ทัพสีกากีคนใหม่ แทน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.ที่จะถึงนี้
หากพลิกกฎหมายตำรวจ “พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547” ซึ่งระบุคุณสมบัติของผู้ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งแห่งรั้วปทุมวันแห่งนี้อย่าง “กว้างๆ” นั่นคือ ตำแหน่ง ผบ.ตร.จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากข้าราชการตำรวจยศ “พลตำรวจเอก”
แต่หลักเกณฑ์สำคัญที่องค์กรแห่งนี้ยึดถือเสมอมา จนกลายเป็นเสมือนประเพณีปฏิบัติที่ใครจะมาละเมิดมิได้ นั่นก็คือ “ลำดับอาวุโส”
ซึ่งหากยึดคุณสมบัติข้อนี้เพียงอย่างเดียว ผู้ที่จะเข้าวินจะเป็นใครไปเสียไม่ได้นอกจาก รองผบ.ตร.อาวุโสอันดับ 1 “บิ๊กอ๊อฟ” พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่เมีย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
แต่โอกาสของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ณ ชั่วโมงนี้ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยขวากหนาม ถือได้ว่ายากเย็นเสียยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา เนื่องเพราะขั้วการเมือง ที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล การจะเลือก พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ผู้เป็นเสมือนตัวแทนของระบอบทักษิณ ย่อมเป็นไปได้ยาก
แม้ว่าก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ผู้นี้จะออกมาคร่ำครวญผ่านสื่อมวลชน เพื่อเรียกร้องความชอบธรรม พร้อมอ้างถึงความอาวุโสของตนเอง แต่กระนั้นเสียงเพรียกของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดูเหมือนจะไร้คนสนใจ นั่นเพราะลำดับอาวุโสที่ว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เองจะต้องตอบคำถามให้ได้ ว่า ได้มาอย่างถูกต้อง โดยไม่ได้มีการ “ลัดคิว “หรือ “ข้ามหัว” ใครมาก่อน
หรือกระนั้น หากจะถามถึงความชอบธรรมก็ต้องย้อนถาม พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ว่าในยุคสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เรืองอำนาจ เอาแค่ช่วงที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดำรงตำแหน่งผู่ช่วย ผบ.ตร.ก่อนจะก้าวขึ้นรอง ผบ.ตร.จะติดยศ พล.ต.อ. ไม่ได้ข้ามลำดับอาวุโสใครบ้างเลยหรือ..?
อย่างไรก็ตาม ณ ชั่วโมงนี้ หากตัด พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ออกสารบบไปก็จะเหลือผู้ที่จะเป็น แคนดิเดต ผบ.ตร.เพียง 3 คนเท่านั้น ...
คนแรกซึ่งถือเป็นเต็งหนึ่ง “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ อาวุโสอันดับ 2 ซึ่งจะเกษียณอายุราชการในปี 2553 เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 25 รุ่นเดียวกับ พล.ต.อ.พัชรวาท ที่ว่ากันว่าขณะนี้มีลุ้นในการสืบทอดตำแหน่งจากเพื่อนร่วมรุ่น ด้วยคุณสมบัติเพียบพร้อม ชนิดไม่ธรรมดา
หากสแกนเส้นทางชีวิตราชการ พล.ต.อ.ปทีป ผ่านงาน “บุ๋น” มาอย่างโชกโชน โดยเฉพาะงานด้านนโยบาย แผน และงบประมาณ เริ่มจากติดยศ พ.ต.อ.ครั้งแรก เป็นผกก.ฝ่ายวิเคราะห์และกำหนดตำแหน่ง กองอัตรากำลัง ติดยศ พล.ต.ต.เป็น ผบก.กองงบประมาณ ก่อนขยับขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักแผนงานและงบประมาณ และติดยศ พล.ต.ท.ในฐานะ ผบช.สำนักแผนงานและงบประมาณ
จากนั้นขยับขึ้นผู้ช่วย ผบ.ตร. โดยติดยศ พล.ต.อ.ในตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ 10 ) กระทั่งไสลด์มาจเรตำรวจแห่งชาติในยุคที่มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส เป็น ผบ.ตร.
นอกจากนี้ยังเคยเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติในยุครัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ภายหลังคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.)
นอกจากนึ้ ในสมัยที่ พล.ต.อ.พัชรวาท โดนเด้งไปตบยุงที่สำนักนายกรัฐมนตรี ยุครัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์พล.ต.อ.ปทีป ผู้นี้เคยก้าวขึ้นมานั่งรักษาราชการแทน ผบ.ตร.(รรท.ผบ.ตร.) มาแล้ว แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาเพียงแค่ 20 กว่าวันเท่านั้น แต่เป็นที่ยอมรับกันในขณะนั้นว่าสามารถทำหน้าที่ได้ดีกว่าตัวจริงเสียอีก
พล.ต.อ.ปทีป ได้ชื่อว่าเป็น “มือประสานสิบทิศ” นั่นเพราะไม่ยึดติดกับขั้วการเมืองใดเป็นพิเศษ อย่างที่เคยให้สัมภาษณ์ว่า สำหรับตนเอง “ไม่ใช่สีเหลือง ไม่ใช่สีแดง แต่เป็นสีกากี”
แต่กระนั้นก็มีสายสัมพันธ์ระดับ “ซี้ปึ้ก” กับ ส.ส.หลายคนของพรรคประชาธิปัตย์ มิหนำซ้ำยังมีทูตสันถวไมตรีระดับคลาสสิกคอยเป็นสะพานเชื่อมให้กับบรรดาระดับบิ๊กในพรรคนี้ แว่วว่าแม้แต่ตัวนายอภิสิทธิ์ และคนใกล้ตัวก็ชื่นชม พล.ต.อ.ปทีป อยู่ไม่น้อย ขณะเดียวกัน มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับกองทัพอย่างยากที่จะหาตัวจับ แม้แต่ภาคเอกชนก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี
ขณะที่ในแวดวงสีกากีเอง พล.ต.อ.ปทีป เป็นที่ยอมรับของผู้ใต้บังคับบัญชา รวมถึงบรรดาเพื่อนพ้องน้องพื่ ในเรื่องหัวจิตหัวใจ “สปอร์ต” เต็มที่ไม่มีกั๊ก แต่การแสดงออกอาจเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ฟู่ฟ่า เรียกว่าแม้จะเป็นนายตำรวจใหญ่แต่ค่อนข้างโลว์โปรไฟล์
จากคุณสมบัติที่ครบถ้วนตามที่กล่าวมา บวกกับสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ ผบ.ตร.ควรจะเป็นตำรวจของทุกฝ่าย ทุกสี ด้วยเหตุผลนี้ ทำให้ พล.ต.อ.ปทีป จึงน่าเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร.อันดับ 1 ที่ถูกจับตามาตั้งแต่ต้น
ด้าน “บิ๊กจุ๋ม” พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รอง ผบ.ตร. อาวุโสอันดับ 4 เกษียณปี 2553 เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 26 รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชีวิตราชการเรียกว่าเป็นตำรวจสาย “บู๊” มาโดยตลอด
ติดยศ พ.ต.อ.ครั้งแรกในตำแหน่ง ผกก.2 กองปราบปราม ก่อนเจริญก้าวหน้าตามลำดับกระทั่งติดยศ พล.ต.ท.ในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล (ผบช.ส.) จากนั้นข้ามห้วยไปเป็นผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (ระดับ 11) ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ 1 ก่อนที่จะได้รับพระราชทานยศ พล.ต.อ.ในเวลาต่อมา
แม้จะถูกคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่สำนักนายกฯ พร้อมๆ กับ “บิ๊กอ๊อฟ” แต่ด้วยสายสัมพันธ์ในฐานะ “นายกสมาคมศิษย์เก่าสวนกุหลาบ” ซึ่งมีอดีตนายกสมาคม อย่าง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ทำให้เจ้าตัวมีโอกาสหวนกลับคืนสู่รั้วปทุมวัน ตั้งแต่ 17 ม.ค.51 ก่อน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ถึง 3 เดือน แม้จะเป็นการลดชั้นมาเป็นเทียบเท่าข้าราชการระดับ 10 ตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ 10) ก่อนขยับสู่ตำแหน่งหลักเป็น รอง ผบ.ตร.คุมงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ยาเสพติด และเดินหน้าลุยงานถี่ยิบในห้วงก่อนหน้านี้
ถึงจะมีแรงต้านจากหลายฝ่าย ในแง่ของความอาวุโส และความเหมาะสม เพราะเจ้าตัวแม้จะเคยเป็นข้าราชการระดับ 11 ซึ่งเทียบเท่าตำแหน่ง ผบ.ตร. แต่ไม่ได้ผ่านขั้นตอนตามปกติ คือไม่ได้เป็น ผู้ช่วย ผบ.ตร. ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ นอกจากนี้ภาพที่เป็นเพื่อนซี้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ การก้าวขึ้นเป็น ผบ.ตร.ในสถานการณ์ที่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย จึงไม่น่าจะเป็นทางเลือกเหมาะสมนัก
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ไว้วางใจ ที่สำคัญมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับผู้มีบารมี ทำให้ พล.ต.อ.จุมพล จึงเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร.คนสำคัญที่ใครจะสบประมาทไม่ได้
รายสุดท้าย “บิ๊กน้อย” พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่ปรึกษา (สบ 10 ) นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 28 ซึ่งจะเกษียณในปี 2556 แม้จะไม่อยู่ในไลน์หลัก แต่มีเครดิตได้รับความไว้วางใจจากนายกรัฐมนตรี ให้มานั่งรักษาการผบ.ตร.ถึงสองครั้งสองครา พล.ต.อ.พัชรวาท ให้ไปปฏิบัติภารกิจต่างประเทศ และล่าสุดส่งไปภาคใต้ เสมือนเป็นนัยยะบางอย่าง
ที่ผ่านมา “บิ๊กน้อย” มีผลงานด้านความมั่นคง และดูแลการเลือกตั้งได้สงบเรียบร้อย รวมถึงดูแลรับมือม็อบ “เสื้อแดง” ถวายฎีกา แต่จากเหตุผลที่กล่าวมา เจ้าตัวเองก็รู้ตัว และไม่เคยหวัง กับบทบาท รรท.ผบ.ตร. ขัดตาทัพ ที่ถูกสั่งให้รื้อโผ “รอง ผบก.” ลงไปช่วง พล.ต.อ.พัชรวาท ไปราชการต่างประเทศและภาคใต้
แต่กระนั้นด้วยความด้อยอาวุโส บวกกับอายุราชการที่เหลือถึง 4 ปี จึงทำให้ พล.ต.อ.วิเชียร จึงค่อนข้างดูห่างไกล ที่จะมีโอกาสได้รับเลือก ซึ่งข้อนี้เจ้าตัวเองก็ทราบดี
จะอย่างไรก็ตามจนถึงวินาทีนี้ ไม่มีเกจิคนใดสามารถจะฟันธงให้ตรงเผงได้ ว่าใครจะก้าวขึ้นมานั่งเก้าอี้เบอร์หนึ่งแห่ง “สำนักปทุมวัน” เพราะอย่างที่ว่ามา ทั้ง พล.ต.อ.ปทีป และพล.ต.อ.จุมพล ต่างก็มีดีกรีที่แรงชนิดที่กินกันไม่ลง จนกว่าการประชุม ก.ต.ช.จะแล้วเสร็จ แต่กระนั้นก็เป็นการวัดใจ คณะกรรมการ ก.ต.ช.ว่าจะยกมือให้ใคร...