“ศิริโชค ณ วอลเปเปอร์” เข้าให้ปากคำ และนำพยานหลักฐานในการซื้อขายตำแหน่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้กับอนุ ก.ตร.แฉคนใกล้ชิด “พัชรวาท” ตั้งโต๊ะซื้อขายตำแหน่ง เชื่อมั่น หลักฐานเด็ดทั้งเอกสารและพยานบุคคลจะสามารถเอาผิดได้ ขณะที่หนึ่งในอนุ ก.ตร.ยอมรับ มีการฝากเด็กกันจริงทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะจากฝ่ายการเมือง แต่ต้องดูประกอบด้วยว่า ฝีมือถึงหรือไม่
วันนี้ (17 ส.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นายสมศักดิ์ บุญทอง ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ในฐานะประธานอนุ ก.ตร.คณะพิเศษ ตรวจสอบการซื้อขายตำแหน่ง ได้เรียกประชุมคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วย พล.ต.อ.นพดล สมบูรณ์ทรัพย์ พล.ต.อ.บุญเพ็ญ บำเพ็ญบุญ พล.ต.ท.เหมราช ธารีไทย พล.ต.ท.อำนวย ดิษฐกวี ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ก.ตร.โดยตำแหน่ง เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการซื้อขายตำแหน่ง
พล.ต.อ.นพดล กล่าวก่อนเข้าประชุม ว่า ได้เรียก นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้กล่าวหา และนายตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งบัญชีโยกย้าย ได้แก่ พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพาณิชย์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุวัฒน์ จันทร์อิทธิกุล ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.ถวิล สุรเชษฐพงษ์ ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.ชนาภัทร เชยสมบัติ ผบก.กพ.มาทำการสอบสวน
พล.ต.อ.นพดล กล่าวว่า การสอบสวนจมีการขอดูบัญชีการแต่งตั้งที่มีการทำไปแล้ว เพื่อดูที่มาที่ไปนายตำรวจที่มีชื่อในบัญชีมาได้อย่างไร นอกจากนี้ จะต้องถาม นายศิริโชค ว่า ที่ออกมาระบุว่า นายพลตั้งโต๊ะเป็นใคร ได้ข้อมูลมาอย่างไร ซึ่งถ้าเขายินดีจะให้ข้อมูลเราก็นำข้อมูลที่ได้ไปตามต่อ นอกจากนี้ คณะกรรมการจะขอเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องถ้าได้หลักฐานก็จะดี ถ้าไม่ได้หลักฐาน คดีก็จะทำการสอบสวนยาก นอกจากนั้นจะต้องเรียกผู้บัญชาการทุกกองบัญชาการมาสอบสวน ว่า การเสนอบัญชีรายชื่อแต่งตั้งยึดหลักอะไร เป็นมาอย่างไร ทำไมถึงมีชื่อคนนี้ในบัญชี มีการสั่งการจากใครหรือไม่ ที่จะให้เสนอชื่อคนคนนี้ขึ้นมา ก็ต้องไล่ดูกัน ซึ่งในวันพุธที่ 19 ส.ค.เวลา 10.00 น.จะเรียกมาสอบอีกครั้ง
“การสอบสวนคงจะเริ่มจากข้อมูลของนายศิริโชค เป็นหลัก จากนั้นก็จะขยายเข้าไปในภาพรวมว่า มีการเสนอบัญชีขึ้นมาอย่างไร ก็จะไล่ไปทีละกองบัญชาการ ถ้ามีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน อย่างเช่น ย้ายจากกองบัญชการหนึ่งไปกองบัญชาการหนึ่ง ก็ต้องดูเหตุผลว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น” พล.ต.อ.นพดล กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากผู้ที่ได้รับการโยกย้ายมีชื่อในการซื้อขายตำแหน่งจะยุติโยกย้ายเลยหรือไม่ พล.ต.อ.นพดล กล่าวว่า คงเร็วเกินไปที่จะตอบแบบนั้น คณะอนุกรรมการไม่ได้มีอำนาจก็ต้องเอาข้อมูลไปให้ผู้พิจารณาบัญชีโยกย้ายเป็นผู้ดำเนินการ ตอนนี้เท่าที่ทราบก็มี นายศิริโชค คนเดียวเป็นผู้กล่าวหา ซึ่งการเชิญทุกกองบัญชาการ มาดูว่ามีการทำบัญชี เป็นไปตามประเพณี เป็นไปตามคำสั่ง ของ ก.ตร.หรือไม่ ตอนนี้ตนก็ไม่เห็นหลักฐานอะไร ระยะเวลา 15 วันที่ต้องการให้สอบสวนให้แล้วเสร็จ ถ้าเกิดได้รับความร่วมมือก็คงจะทำได้ทัน แต่ไม่ได้รับความร่วมมือก็อาจจะช้า วันนี้ เราอยากรู้ว่าการไปกล่าวหา สตช.ของ นายศิริโชค อยู่บนพื้นฐานอะไร
“ทุกคนมีสิทธิ์เสนอรายชื่อนายตำรวจที่ตนเองเห็นว่าเหมาะสมอยู่ในกติกา ถ้าคณะกรรมการพิจารณาแล้วเหมาะสมเป็นไปตามกติกา ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเสนอไม่ถูกต้องตามกติกา ก็ต้องพิจารณากัน ประเพณีไทย ก็ต้องยอมรับเรื่องของการฝาก แต่ต้องมีเหตุมีผล อย่างเช่นนายตำรวจคนนี้ฝีมือถึงเป็นต้น” พล.ต.อ.นพดล กล่าว เมื่อถูกถามว่าในอดีตเคยมีประสบการณ์ในการแต่งตั้งมาก่อน เคยมีการซื้อขายตำแหน่งกันหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า สมัยก่อนมีนักการเมืองฝากบ้างหรือไม่ พล.ต.อ.นพดล กล่าวว่า อย่าพูดว่าสมัยไหนเลย เท่าที่ตนรับรู้รับทราบก็มีนักการเมืองฝากมาทุกปี เรื่องนี้ไม่ต้องมาปฏิเสธ ต้องยอมรับความจริงมันชัดเจน
เมื่อซักต่อว่า สมัยนี้มีมากขึ้นหรือไม่ พล.ต.อ.นพดล กล่าวว่า ไม่ทราบ ว่าฝากมากี่คนไม่มีข้อมูล แต่ระบบของประเทศไทย ก็มีทั้งนั้นเรื่องเด็กฝาก แต่เรื่องซื้อขายตำแหน่งตนไม่ทราบ แต่ฝากนั้นมีแน่นอน ใครเป็นลูกน้องใคร ใครจะสนับสนุนใครที่เห็นว่าเป็นคนดีก็สนับสนุนได้ แต่คณะกรรมการชุดนี้จะสอบเรื่องการซื้อขายตำแหน่งเท่านั้น
ต่อมา นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางมาให้ปากคำต่อคณะกรรมการ โดย นายศิริโชค กล่าวก่อนเข้าให้ข้อมูลว่า นำหลักฐานมาประมาณ 60 หน้า แต่ไม่ขอเปิดเผยในรายละเอียด ขอสงวนให้แก่คณะกรรมการเท่านั้น เป็นคำให้การของตน 6-7 หน้า พยานเอกสาร และระบุพยานบุคคลรายละเอียดต่างๆ ไว้ชัดเจนอยู่แล้ว ซึ่ง 60 หน้านี้มีอะไรต้องไปถามคณะกรรมการ เปิดเผยไม่ได้ แต่มีคำให้การของพยานซึ่งเป็นตำรวจ ยศรองผู้บังคับการถึงสารวัตร แต่ไม่เปิดเผยว่ามีกี่คน
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีรายชื่อนายพลที่ตั้งโต๊ะซื้อขายตำแหน่งหรือไม่ นายศิริโชค กล่าวว่า ก็มีแนวทางในการเชื่อมโยง ส่วนจะเป็นยศอะไรก็ขอสงวนไว้เพราะเป็นเอกสาร พาดพิงไปบุคคลที่สาม เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการ ในการสอบสวน เมื่อถามว่าเป็นตำรวจที่ใกล้ชิด ผบ.ตร. เป็นนายตำรวจที่รู้ใจและเข้าออกสำนักงาน ผบ.ตร.ใช่หรือไม่ นายศิริโชค กล่าวว่า เอาเป็นว่าตำรวจที่ใกล้ชิด
นายศิริโชค ได้ตอบคำถามที่ระบุว่า มีใบเสร็จหรือไม่ ว่าต้องไปนิยามว่าใบเสร็จคืออะไร ในเอกสารเหล่านี้มีความชัดเจน แต่ขอตั้งข้อสังเกตเป็นห่วงว่า อนุ ก.ตร.ชุดนี้ ประกอบด้วยตำรวจ ตำรวจจะมาสอบตำรวจด้วยกันเอง ต้องมีวิธีการที่ทำให้สังคมเกิดความเชื่อมั่น ว่า จะไม่มีการปกป้องกันเอง แต่ตนมีความยินดีที่จะให้ความร่วมมือ และตั้งใจว่าอยากให้งานนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี ส่วนพยานที่เป็นตำรวจนั้น ก็ต้องมาให้การอยู่แล้ว
ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ผู้นี้ ยังเลี่ยงที่จะตอบคำถามที่ระบุว่า พยานที่มาให้การเป็นคนที่ถูกเรียกเก็บเงินใช่หรือไม่ด้วยว่า ต้องไปสอบถามคณะกรรมการเอง ถ้าลงลึกไปแล้วมีการพาดพิงหลายคน แต่เป็นตำรวจระดับรองผบก.ถึงสารวัตร ที่เกี่ยวกับโผการแต่งตั้งโยกย้ายนายพัน แต่บอกไม่ได้ว่ามีจำนวนกี่คน ส่วนพยานพร้อมมาให้การหรือไม่ ก็ต้องไปถามคณะกรรมการเอง ตนจะยื่นเอกสารซึ่งคิดว่าเพียงพอแล้ว เอกสารเขียนค่อนข้างชัดเจนว่าต้องทำอะไร มีหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งที่ผ่านมาด้วยว่า คนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมกี่คน ตนคิดว่าเป็นการป้องปราม ไม่ให้มีการซื้อขายตำแหน่ง สังคมจะได้ช่วยกันตรวจสอบ แต่ทั้งหมดต้องให้การแต่งตั้งโยกย้ายเกิดขึ้นก่อนจะสามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นไปตามเอกสารหรือไม่
“ผมพยายามรักษาความลับไม่ได้กั๊กข้อมูลไว้ ในข้อเท็จจริงแล้วเวลาจะไปจับใครที่ทำความผิดต้องให้ความผิดเกิดขึ้นก่อน หวังว่าเมื่อตั้งอนุ ก.ตร.มาตรวจสอบแล้ว สังคมร่วมกันตรวจสอบ ตำรวจดีๆ ที่ไม่ได้มีการซื้อขายตำแหน่งทำหน้าที่โดยสุจริตสามารถเติบโตได้ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” นายศิริโชค กล่าว
นายศิริโชค ยังได้ปฏิเสธถึงการออกมาแฉเรื่องการซื้อขายตำแหน่งในครั้งนี้ว่าเป็นการเรียกร้องความชอบธรรมให้กับนายกรัฐมนตรี ในการแต่งตั้ง รรท.ผบ.ตร.ว่า คงไม่เป็นเช่นนั้น เป็นคนละเรื่องกัน ตนทำหน้าที่อธิบายข้อเท็จจริงว่า เกิดอะไรขึ้นบ้าง มีการปล่อยข่าวต่างๆ นานาเพื่อทำลายฝ่ายการเมือง ตนก็ทำหน้าที่ชี้แจงข้อเท็จจริงว่าคืออะไร ซึ่งข้อเท็จจริงก็บังเอิญไปพาดพิงถึงการแต่งตั้งโยกย้ายเท่านั้นเอง
“หลายคนมองว่าฝ่ายการเมืองล้วงลูก เนื่องจากไม่ได้โผตามที่ต้องการขออธิบายว่าโผนายพันยังไม่เสร็จ ถ้าจะล้วงลูกก็ต้องให้โผนายพันเสร็จก่อน ถึงจะออกมาโวยวาย เพราะฉะนั้นต้องอธิบายว่าไม่ใช่ มันมีคนที่สูญเสียผลประโยชน์ก็เลยมาพาดพิงเรื่องการซื้อขายตำแหน่ง” นายศิริโชค กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะที่เป็นผู้ใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี ซึ่งพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.จะมาปฏิบัติหน้าที่ในวันพรุ่งนี้นายกฯจะให้ไปปฏิบัติราชการที่ไหนอีก นายศิริโชค กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของนายกฯ ตนไม่ทราบ เรื่องนี้ตนก็มายื่นในฐานะส่วนตัว นายกฯไม่ได้ถามอะไร เพียงแต่แนะนำให้ไปทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ ข้อมูลทั้งหมดก็ให้สภาดำเนินการ แต่เมื่อฝ่ายบริหารตั้งกลไกนี้ขึ้นมาตนก็ให้ความร่วมมือ
ต่อมา นายศิริโชค ได้เข้าให้ปากคำ และเอกสารหลัฐานกับอนุ ก.ตร.แล้ว ได้ออกมากล่าวภายหลังอีกครั้งว่า ได้พูดโดยทั่วไป ในภาพกว้าง จากเดิมที่มีความมั่นใจไม่มาก แต่เมื่อได้คุยกับอนุ ก.ตร.แล้ว เห็นว่า น่าจะเป็นที่พึ่งให้กับประชาชน และตำรวจได้ ซึ่งในที่ประชุมได้มีการบันทึกข้อความและลงชื่อว่าได้มายื่นเอกสาร ทางคณะอนุ ก.ตร.ได้มีการซักถามในเรื่องทั่วไป ว่า ที่มาที่ไป และจุดไหนบ้างที่คิดว่ามีการซื้อขายตำแหน่ง ซึ่งตนได้ชี้แจงตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในเอกสาร นอกจากนี้ได้มีการถามถึงพยานว่าพร้อมที่จะมาให้การหรือไม่ ซึ่งอนุ ก.ตร.จะเป็นผู้เรียกมาให้ปากคำ
“คิดว่าคงจะเป็นงานที่หนัก ไม่แน่ใจระยะเวลา 15 วัน จะเพียงพอหรือไม่ เพราะมีหลายกองบัญชาการ บช.ภ.1-9 นครบาล สตม.ตนก็ไม่แน่ใจว่าจะทันหรือไม่ เป็นหน้าที่ของอนุ ก.ตร.ที่ต้องดำเนินการ หากย้อนไปวันที่ 14 พ.ย.2551 จะเห็นแนวทางว่าเป็นอย่างไร ตำรวจที่ถูกโยกย้ายไม่เป็นธรรมมีกี่คน เฉพาะปีที่แล้วที่ไปร้อง ก.ตร.มีกว่า 100 คน ซึ่งวิธีการที่จะไปดูว่าครั้งนี้เป็นธรรมหรือไม่ ต้องเริ่มต้นจากคราวที่แล้วก่อนว่ามันไม่เป็นธรรมอย่างไร มีการซื้อขายตำแหน่งหรือไม่ เพื่อที่จะคราวนี้จะได้ไม่มีปัญหา” นายศิริโชค กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า การออกมาเปิดเผยในครั้งนี้ เป็นการปูทางเพื่อการเลือกตั้งครั้งหน้า หรือไม่ นายศิริโชค กล่าวว่า การเลือกตั้งมันยังไกล ไม่มีเหตุผลที่จะไปทำอย่างนั้น เมื่อถามว่ามีกระแสกดดันมาจากฝ่ายไหนหรือไม่ ยืนยันว่า ไม่มี ตนก็ทำเช่นนี้มาตลอดตั้งแต่เป็นส.ส.สมัยแรก ที่ออกมาเปิดโปงเรื่อง การทุจริตจัดซื้อซีทีเอ็กซ์ และเรื่องปราสาทพระวิหาร
ต่อข้อถามว่า นายพลคนที่อยู่เบื้องหลังการซื้อขายตำแหน่งเป็นใคร ที่ไม่บอกเพราะกลัวถูกฟ้องหรือไม่ นายศิริโชค กล่าวว่า ไม่หรอก เพราะการสืบสวนก็พอจะรู้ว่าใคร แต่การสอบสวนต้องมีความเป็นกลาง ไม่มีอคติ ต้องทำไปตามหลักฐานที่มีอยู่ การตั้งธงอย่างใดอย่างหนึ่งจะทำให้เกิดความเป็นกลาง
“อย่าเพิ่งไปตั้งธงอะไร ขอให้มีการสืบสวนสอบสวนไปตามแนวทาง ส่วนเรื่องที่มีนายพลตั้งโต๊ะซื้อขายตำแหน่งนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่ได้ปรากฏในสาธารณะ ซึ่งเป็นแนวทางด้านการสืบสวน แต่ชุดนี้เป็นการสอบสวนจะตั้งธงอย่างนั้นไม่ได้ ต้องนำข้อเท็จจริงมาพิจารณาแล้วเดินหน้าต่อไป ตนรู้ว่านายพลคนนั้นคือใคร และคิดว่าอนุก.ตร.ก็รู้ว่าเป็นใคร” นายศิริโชค กล่าว และว่า ตนเห็นถึงความตั้งใจของคณะอนุก.ตร.หลายท่านๆ บางท่านยังขอบคุณตนเลยที่ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ตำรวจหลายๆ คนใน ตร.อยากให้มีการปรับโครงสร้างเพื่อความเป็นธรรม
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีหลักฐานที่มีจะสาวถึงตัว ผบ.ตร.หรือนายพลคนอื่นไม่ นายศิริโชค กล่าวว่า อย่าพูดไปไกลขนาดนั้น ขอให้อนุ ก.ตร.ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แบบดีกว่า
ด้านนายสมศักดิ์ กล่าวภายหลังการประชุมว่า นายศิริโชคยังไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรมาก ให้เพียงเอกสาร โดยในเอกสารที่ให้มาก็อ้างถึงว่าควรต้องเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องคนใดมาสอบบ้าง ซึ่งคณะกรรมการก็ต้องเรียกบุคคลดังกล่าวมาสอบ โดยนัดมาในวันที่ 19 สิงหาคม ซึ่งการสอบสวนต้องเร่งทำเพราะมีกรอบเวลา 15 วัน
เมื่อถามว่า นายศิริโชคระบุถึงคนใกล้ชิด ผบ.ตร.เกี่ยวข้องการซื้อขายตำแหน่งหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เอกสารที่มอบให้มามีตำรวจที่เคยถูกโยกย้าย ได้รับผลกระทบ ซึ่งคณะอนุฯจะเรียกมาสอบปากคำ อย่างไรก็ตามตนยังไม่ได้อ่านรายละเอียดเอกสารที่นายศิริโชคให้มา ขอเวลาดูรายละเอียดก่อน โดยนายศิริโชคยืนยันข้อมูลตามเอกสาร