xs
xsm
sm
md
lg

ทนาย ป.ป.ช.มั่นใจหลักฐานเอาผิดทุจริตกล้ายาง‏ชนะคดี 100%

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายเจษฎา อนุจารีย์ ทนายความ ป.ป.ช. ในคดีทุจริตจัดซื้อกล้ายาง
ทนาย ป.ป.ช.มั่นใจ 100% ชนะคดีทุจริตกล้ายาง ระบุฟ้องคดีหวังสร้างบรรทัดฐาน พัฒนากระบวนการยุติธรรม จับทุจริตเชิงนโยบาย แต่ถ้าศาลยกฟ้องก็น้อมรับ เชื่อจะไม่กระทบคดีอื่นที่ คตส.ฟ้องเอง พร้อมปฏิเสธไม่ห่วงหากจำเลยคิดฟ้องกลับ ชี้ คตส.-ป.ป.ช.มีอำนาจทำความเห็นฟ้องคดี ภายใต้กรอบกฎหมาย ไม่ได้กลั่นแกล้งใคร

วันนี้ (16 ส.ค.) นายเจษฎา อนุจารีย์ ทนายความ ป.ป.ช.ในคดีทุจริตจัดซื้อกล้ายาง ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษาวันพรุ่งนี้ (17 ส.ค.) เปิดเผยว่า ตอนนี้สบายใจไม่เป็นห่วง และไม่รู้สึกกังวล เพราะคดีนี้ศาลฎีกาฯได้ดำเนินการไต่สวนตามกระบวนการยุติธรรม ให้โอกาสทั้งโจทก์-จำเลย นำพยานหลักฐานเข้าสู่กระบวนพิจารณาอย่างเต็มที่ ส่วนจำเลยทั้ง 44 คนจะเดินทางมาครบหรือไม่ ก็ต้องรอดูในวันพรุ่งนี้ (17 ส.ค.) อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งเลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาแต่อย่างใด

ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจหรือไม่ นายเจษฎากล่าวว่า ถ้าถามโจทก์ว่ามั่นใจหรือไม่ ก็ต้องบอกว่ามั่นใจ 100% ว่าจะชนะคดี โดยความผิดที่ยื่นฟ้องคดีนี้ที่มีอัตราโทษสูงสุด คือ การทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และ 157 แต่ถ้าจะไปถามฝ่ายจำเลยก็คงได้รับตำตอบว่ามั่นใจเช่นกัน อย่างไรก็ดี ถ้าศาลจะพิพากษายกฟ้องในคดีนี้ก็ไม่กระทบกับคดีอื่นที่ คตส.สรุปสำนวนและยื่นฟ้องคดีเอง เพราะแต่ละคดีมีพฤติการณ์ ข้อเท็จจริงที่แตกต่าง

ซักต่อถึงการยื่นอุทธรณ์หากศาลพิพากษายกฟ้อง นายเจษฎากล่าวว่า แม้ตามรัฐธรรมนูญ มีบทบัญญัติให้ยื่นอุทธรณ์คดีได้ แต่ตามกฎหมายระบุไว้ว่าต้องเป็นกรณีที่มีพยานหลักฐานใหม่เท่านั้น

นายเจษฎากล่าวด้วยว่า หากศาลพิพากษายกฟ้อง แล้วจะมีจำเลยใช้สิทธิยื่นฟ้องกลับคดีอาญาและแพ่งต่อ คตส.หรือ ป.ป.ช.นั้นก็ไม่ห่วง เนื่องจากการทำหน้าที่ของ คตส.ในการสรุปสำนวนทุกคดี ทำตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายขณะนั้นให้อำนาจไว้ ขณะที่การทำความเห็นในคดี เป็นเรื่องของการตีความกฎหมาย ซึ่งระหว่างการทำความเห็น คตส.เองก็มีความเห็นแตกต่างกัน โดยมี คตส.เสียงข้างน้อยเห็นว่าการดำเนินการของคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ที่มีมติให้อนุมัติเงินใช้ในโครงการนั้น เป็นการดำเนินการตามนโยบายซึ่งไม่ควรรับผิดทางอาญา แต่น่าจะมีความรับผิดทางแพ่งที่ทำให้เกิดความเสียหาย ดังนั้นย่อมแสดงให้เห็นว่า การทำความเห็นสรุปสำนวนของ คตส.ไม่มีได้มีเจตนาใส่ร้าย กลั่นแกล้งบุคคลใด

“การตัดสินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีผู้พิพากษาชั้นผู้ใหญ่ระดับศาลฎีกา ที่มีความรู้ ความสามารถ และความซื่อสัตย์เป็นที่ไว้วางใจ ทำการตัดสิน ดังนั้นไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ทุกฝ่ายก็ต้องน้อมรับ จึงเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหา” นายเจษฎาระบุ

นายเจษฎากล่าวด้วยว่า ปัจจุบันการทุจริตคอร์รัปชันพัฒนาเปลี่ยนวิธีการแตกต่างจากเดิมที่นักการเมือง เคยใช้อำนาจบริหารกินค่าหัวคิว หักเปอร์เซ็นต์จากการดำเนินโครงการ เป็นการทุจริตเชิงนโยนบายที่นักการเมืองที่มีอำนาจบริหารใช้อำนาจออกนโยบาย ออกกฎหมาย เปลี่ยนแปลงกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ มารองรับการทุจริต ซึ่งหากกระบวนการยุติธรรมตามเรื่องนี้ไม่ทันก็คงจะตามจับนักการเมืองที่ทุจริตไม่ได้ ดังนั้น ไม่ว่าผลคดีจะออกมาในทางใดก็จะนำมาศึกษาเป็นบรรทัดฐานได้ เช่นเดียวกับหากมีนักการเมืองหลบหนีคดี ก็ช่วยให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องในการติดตามตัว สร้างพัฒนาการในการหาวิธีการและช่องทางตามจับตัวมาได้
กำลังโหลดความคิดเห็น