นายกสมาคมชาวนาไทย ร้องดีเอสไอมีนายทุนต่างชาติใช้นอมินีเป็นคนไทยกว้านซื้อที่ดิน-เช่าที่ดิน ในทุกภาคทั่วประเทศ เพื่อทำนาแล้วขนส่งข้าวกลับประเทศตนเอง หวั่นกระทบเกษตรกรไทย ด้านดีเอสไอเตรียมลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง
วันนี้ (6 ส.ค.) เมื่อเวลา 16.30 น. นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย และตัวแทนชาวนาไทย เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ สำนักเทคโนโลยีและการตรวจสอบดีเอสไอ เพื่อปรึกษาและให้ข้อมูลเอกสารกรณีนายทุนต่างชาติกว้านซื้อที่นาของเกษตรกรในจังหวัดสุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา นครปฐม และจังหวัดอื่นๆ
นายประสิทธิ์กล่าวว่า ขณะนี้มีนายทุนต่างชาติ ทั้งเลบานอน ซาอุดีอาระเบีย และไต้หวันเข้ามากว้านซื้อที่ดินหรือเช่าที่ดินเพื่อทำนาในประเทศไทย เพื่อขนส่งกลับประเทศของตนเองโดยทางเรือ ซึ่งวิธีการกว้านซื้อที่ดินจะเปิดบริษัทและมีตัวแทนนอมินีที่เป็นคนไทย ทำหน้าที่ติดต่อกับเจ้าของชาวนาในจังหวัดต่างๆ ทั้งภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคใต้ ซึ่งเรื่องนี้ทุกคนวิตกกังวลและเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรไทย
นายกสมาคมชาวนาไทย กล่าวต่อว่า ชาวนาบางส่วนทำงานมา 20 ปี หรือให้คนอื่นเช่าในราคา ปีละ 2,000 กว่าบาท แต่เมื่อมีนอมินีไปติดต่อขอซื้อจะให้ราคามากกว่า แล้วยอมให้เช่าเพื่อทำนาในที่ดินของตัวเองได้ โดยให้ค่าเช่าประมาณ 5,000 บาท ซึ่งการกว้านซื้อแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่า 200-300 ไร่ ทั้งนี้ภายหลังตนนำเรื่องนี้มาเปิดเผย ทำให้ต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น เนื่องจากผู้ที่เสียประโยชน์เคยโทรศัพท์มาข่มขู่
ด้าน พ.ต.ท.ปกรณ์ กล่าวว่า ประเด็นนายทุนต่างชาติเข้ามากว้านซื้อที่ดิน จะต้องพิจารณากฎหมายประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติ ที่กำหนดให้ชาวต่างชาติถือหุ้น 49 เปอร์เซ็นต์ คนไทยถือหุ้น 51 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหากพบว่ามีตัวแทนคนไทยถือหุ้นในนามชาวต่างชาติรวมหุ้นของคนไทยรวมกัน เกินกว่า 49 เปอร์เซ็นต์ จะถือเป็นความผิดการประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติ มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 1แสนถึง 1 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หลังได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์แล้ว ดีเอสไอก็จะลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง คาดว่าอีก 2-3 สัปดาห์ก็จะทราบผล และหากพบว่าเป็นจริงก็จะต้องนำเรื่องเข้าสู่คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) เพื่อพิจารณาเป็นคดีพิเศษต่อไป
วันนี้ (6 ส.ค.) เมื่อเวลา 16.30 น. นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย และตัวแทนชาวนาไทย เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ สำนักเทคโนโลยีและการตรวจสอบดีเอสไอ เพื่อปรึกษาและให้ข้อมูลเอกสารกรณีนายทุนต่างชาติกว้านซื้อที่นาของเกษตรกรในจังหวัดสุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา นครปฐม และจังหวัดอื่นๆ
นายประสิทธิ์กล่าวว่า ขณะนี้มีนายทุนต่างชาติ ทั้งเลบานอน ซาอุดีอาระเบีย และไต้หวันเข้ามากว้านซื้อที่ดินหรือเช่าที่ดินเพื่อทำนาในประเทศไทย เพื่อขนส่งกลับประเทศของตนเองโดยทางเรือ ซึ่งวิธีการกว้านซื้อที่ดินจะเปิดบริษัทและมีตัวแทนนอมินีที่เป็นคนไทย ทำหน้าที่ติดต่อกับเจ้าของชาวนาในจังหวัดต่างๆ ทั้งภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคใต้ ซึ่งเรื่องนี้ทุกคนวิตกกังวลและเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรไทย
นายกสมาคมชาวนาไทย กล่าวต่อว่า ชาวนาบางส่วนทำงานมา 20 ปี หรือให้คนอื่นเช่าในราคา ปีละ 2,000 กว่าบาท แต่เมื่อมีนอมินีไปติดต่อขอซื้อจะให้ราคามากกว่า แล้วยอมให้เช่าเพื่อทำนาในที่ดินของตัวเองได้ โดยให้ค่าเช่าประมาณ 5,000 บาท ซึ่งการกว้านซื้อแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่า 200-300 ไร่ ทั้งนี้ภายหลังตนนำเรื่องนี้มาเปิดเผย ทำให้ต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น เนื่องจากผู้ที่เสียประโยชน์เคยโทรศัพท์มาข่มขู่
ด้าน พ.ต.ท.ปกรณ์ กล่าวว่า ประเด็นนายทุนต่างชาติเข้ามากว้านซื้อที่ดิน จะต้องพิจารณากฎหมายประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติ ที่กำหนดให้ชาวต่างชาติถือหุ้น 49 เปอร์เซ็นต์ คนไทยถือหุ้น 51 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหากพบว่ามีตัวแทนคนไทยถือหุ้นในนามชาวต่างชาติรวมหุ้นของคนไทยรวมกัน เกินกว่า 49 เปอร์เซ็นต์ จะถือเป็นความผิดการประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติ มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 1แสนถึง 1 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หลังได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์แล้ว ดีเอสไอก็จะลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง คาดว่าอีก 2-3 สัปดาห์ก็จะทราบผล และหากพบว่าเป็นจริงก็จะต้องนำเรื่องเข้าสู่คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) เพื่อพิจารณาเป็นคดีพิเศษต่อไป
