ตำรวจคลองตัน เรียกผู้จัดการ หจก.ปทุมทรานสปอร์ต และลูกน้องสอบเพิ่มพรุ่งนี้ รวบรวมพยานหลักฐานเตรียมขอหมายเรียก “พูนผล อัศวเหม” และลูกน้อง ตบหัวแตกเลือดไหล
วันนี้ (2 ส.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น.พ.ต.ท.สมเกษม จารักษ์ รอง ผกก.สส.สน.คลองตัน กล่าวถึงความคืบหน้าคดี พ.ต.วิชัย ชุนประเสริฐดี นายทหารนอกราชการและผู้จัดการ หจก.ปทุมทรานสปอร์ต แจ้งความดำเนินคดีต่อ นายพูลผล อัศวเหม อดีต ส.ส.และเทศมนตรีเทศบาลเมืองสมุทรปราการ และลูกน้อง ในข้อหาข้อหาข่มขู่ ทำร้ายร่างกายว่า วันพรุ่งนี้ (3 ส.ค.) เวลาเที่ยง จะเรียก พ.ต.วิชัย ผู้เสียหาย และพยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุและลูกน้องของ พ.ต.วิชัย มาสอบปากคำเพิ่มเติม ว่า คู่กรณีที่ทำร้ายร่างกาย พ.ต.วิชัย ว่ามีกี่คน เบื้องต้นคงสามารถออกหมายเรียก นายพูลผล และลูกน้องที่เป็นผู้ทำร้ายร่างกาย พ.ต.วิชัย มาสอบปากคำก่อน ถ้าหากไม่มาตามหมายเรียกก็คงต้องดำเนินการตามกฎหมาย แต่เชื่อว่า นายพูนผล และลูกน้องน่าจะมาตามหมายเรียก ส่วนรายละเอียดความคืบหน้าคดีคงทราบเพิ่มเติมหลังสอบปากคำ พ.ต.วิชัย และลูกน้องแล้ว
ด้าน ร.ต.ต.กิติพล เกตุมาลา ร้อยเวร สน.คลองตัน ที่รับแจ้งความ กล่าวว่า การดำเนินคดีเบื้องต้นทางตำรวจก็รับคำให้การของ พ.ต.วิชัย ไว้ตามระเบียบ ส่วนการดำเนินคดีก็ต้องรอสอบสวน พ.ต.วิชัย และลูกน้องซึ่งเป็นพยานในที่เกิดเหตุก่อน ว่า เหตุที่เกิดเป็นเช่นไรเพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน จึงจะสามารถดำเนินการออกหมายเรียกคู่กรณีได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (1 ส.ค.) เมื่อเวลา 22.00 น.พ.ต.วิชัย ได้เข้าแจ้งความกับ ร.ต.ต.กิตติพล ให้ดำเนินคดีกับ นายพูลผล ข้อหาข่มขู่ และลูกน้องเป็นชายไม่ทราบชื่อจำนวน 1 คน ในข้อหาทำร้ายร่างกาย หลังจาก พ.ต.วิชัย ไปพบกับ นายพูนพล ที่บ้านพักในซอยพัฒนาการ 20 เพื่อเจรจาความขัดแย้งทางธุรกิจ แต่กลับถูกลูกน้องนายพูนผล ตบศีรษะ 3 ครั้ง จนรู้สึกมึนชา และเลือดไหล
สำหรับ นายพูนผล อัศวเหม เคยมีข่าวฮือฮาเมื่อกว่า 10 ปีก่อน นำมาสู่คำพูดสุดฮิต “กู ลูกวัฒนา” หลังมีเรื่องขับรถปาดกับคู่กรณีสองพ่อลูกที่บริเวณแยกพัฒนาการ แล้วชักปืนออกมาตบคู่กรณีจนปืนลั่นและถูกจับกุมดำเนินคดี หลังจากนั้น ก็หันหน้าเข้าสู่แวดวงการเมืองเคยเป็นส.ส.สมุทรปราการ สมัยที่ นายวัฒนา อัศวเหม บิดายังคมเป็นที่นิยมของชาวปากน้ำ แต่ก็มาถูกดำเนินคดีอีกครั้ง เมื่อถูกกล่าวหาว่าขับรถไล่ชนตำรวจจราจรได้รับบาดเจ็บ เพราะไม่พอใจที่จับกุมนักศึกษาสาวคนสนิท ข้อหาไม่มีใบขับขี่ซึ่งคดีดังกล่าวถูกศาลตัดสินจำคุก 1 ปี 6 เดือน ปรับ 1,000 บาท และศาลอุทธรณ์ลดโทษให้เหลือ 8 เดือน 20 วัน
วันนี้ (2 ส.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น.พ.ต.ท.สมเกษม จารักษ์ รอง ผกก.สส.สน.คลองตัน กล่าวถึงความคืบหน้าคดี พ.ต.วิชัย ชุนประเสริฐดี นายทหารนอกราชการและผู้จัดการ หจก.ปทุมทรานสปอร์ต แจ้งความดำเนินคดีต่อ นายพูลผล อัศวเหม อดีต ส.ส.และเทศมนตรีเทศบาลเมืองสมุทรปราการ และลูกน้อง ในข้อหาข้อหาข่มขู่ ทำร้ายร่างกายว่า วันพรุ่งนี้ (3 ส.ค.) เวลาเที่ยง จะเรียก พ.ต.วิชัย ผู้เสียหาย และพยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุและลูกน้องของ พ.ต.วิชัย มาสอบปากคำเพิ่มเติม ว่า คู่กรณีที่ทำร้ายร่างกาย พ.ต.วิชัย ว่ามีกี่คน เบื้องต้นคงสามารถออกหมายเรียก นายพูลผล และลูกน้องที่เป็นผู้ทำร้ายร่างกาย พ.ต.วิชัย มาสอบปากคำก่อน ถ้าหากไม่มาตามหมายเรียกก็คงต้องดำเนินการตามกฎหมาย แต่เชื่อว่า นายพูนผล และลูกน้องน่าจะมาตามหมายเรียก ส่วนรายละเอียดความคืบหน้าคดีคงทราบเพิ่มเติมหลังสอบปากคำ พ.ต.วิชัย และลูกน้องแล้ว
ด้าน ร.ต.ต.กิติพล เกตุมาลา ร้อยเวร สน.คลองตัน ที่รับแจ้งความ กล่าวว่า การดำเนินคดีเบื้องต้นทางตำรวจก็รับคำให้การของ พ.ต.วิชัย ไว้ตามระเบียบ ส่วนการดำเนินคดีก็ต้องรอสอบสวน พ.ต.วิชัย และลูกน้องซึ่งเป็นพยานในที่เกิดเหตุก่อน ว่า เหตุที่เกิดเป็นเช่นไรเพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน จึงจะสามารถดำเนินการออกหมายเรียกคู่กรณีได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (1 ส.ค.) เมื่อเวลา 22.00 น.พ.ต.วิชัย ได้เข้าแจ้งความกับ ร.ต.ต.กิตติพล ให้ดำเนินคดีกับ นายพูลผล ข้อหาข่มขู่ และลูกน้องเป็นชายไม่ทราบชื่อจำนวน 1 คน ในข้อหาทำร้ายร่างกาย หลังจาก พ.ต.วิชัย ไปพบกับ นายพูนพล ที่บ้านพักในซอยพัฒนาการ 20 เพื่อเจรจาความขัดแย้งทางธุรกิจ แต่กลับถูกลูกน้องนายพูนผล ตบศีรษะ 3 ครั้ง จนรู้สึกมึนชา และเลือดไหล
สำหรับ นายพูนผล อัศวเหม เคยมีข่าวฮือฮาเมื่อกว่า 10 ปีก่อน นำมาสู่คำพูดสุดฮิต “กู ลูกวัฒนา” หลังมีเรื่องขับรถปาดกับคู่กรณีสองพ่อลูกที่บริเวณแยกพัฒนาการ แล้วชักปืนออกมาตบคู่กรณีจนปืนลั่นและถูกจับกุมดำเนินคดี หลังจากนั้น ก็หันหน้าเข้าสู่แวดวงการเมืองเคยเป็นส.ส.สมุทรปราการ สมัยที่ นายวัฒนา อัศวเหม บิดายังคมเป็นที่นิยมของชาวปากน้ำ แต่ก็มาถูกดำเนินคดีอีกครั้ง เมื่อถูกกล่าวหาว่าขับรถไล่ชนตำรวจจราจรได้รับบาดเจ็บ เพราะไม่พอใจที่จับกุมนักศึกษาสาวคนสนิท ข้อหาไม่มีใบขับขี่ซึ่งคดีดังกล่าวถูกศาลตัดสินจำคุก 1 ปี 6 เดือน ปรับ 1,000 บาท และศาลอุทธรณ์ลดโทษให้เหลือ 8 เดือน 20 วัน
