จากภาพแห่งความมุ่งมั่นและจริงจัง...ที่จะพิชิตคดีลอบสังหาร “นายสนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ของ “พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ถือว่าในห้วง 100 วัน หลังได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบคดีนี้ เมื่อวันที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา พบว่าในแทบทุกครั้งที่ พล.ต.อ.ธานี ได้เข้ารายงานความคืบหน้าของคดีต่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ก็จะมีภาพข่าวการให้สัมภาษณ์ออกมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “สามารถปิดคดีนี้ได้ทันก่อนเกษียณอายุราชการแน่นอน” “หมายจับที่ออกไปมีหลักฐานชัดเจน เชื่อมโยงถึงผู้ร่วมขบวนการที่จะออกหมายจับเพิ่มอีกประมาณ 10 คน” ... “คดีนี้เจอตอ ชุดพนักงานสืบสวนสอบสวนถูกข่มขู่คุกคาม” ... “มีตำรวจที่ทำตัวเป็นไส้ศึก ไม่มีจิตวิญญาณของความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์”...
ขณะที่ภาพของ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี พบว่าแทบทุกครั้งเช่นกันที่ได้รับรายงานคดีโดยตรงจาก พล.ต.อ.ธานี ก็ได้ออกมายืนยันหนักแน่นที่จะทำคดีนี้ได้สำเร็จ จับผู้ร่วมขบวนการให้ได้ โดยที่นายกรัฐมนตรียืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ไม่มีการแบ่งสี แบ่งฝ่าย และไม่สนว่าผู้ต้องหาจะเกี่ยวโยงกับใคร หรือเป็นญาติกับใคร โดยได้สนับสนุนคำพูดของ พล.ต.อ.ธานี ว่าจะต้องปิดคดีได้ก่อนเกษียณอายุราชการ และจะไม่มีการต่ออายุ พล.ต.อ.ธานี เพื่อมาดูแลคดีนี้อีก
จากวันนั้น...ถึงวันนี้... หลังจากวันที่ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับบทบาทหน้าที่เคลียร์ปัญหาอุปสรรคของคดียิง “นายสนธิ” ภายใต้โจทก์ “พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร., พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร. และพล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.” คือนายตำรวจต้องสงสัยว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องในปัญหาอุปสรรคที่จะทำให้คดีนี้เกิดความล่าช้า...จนถึงขั้นมีกระแสข่าวเรียกร้องให้ปลด พล.ต.อ.พัชรวาท ออกจากตำแหน่ง ผบ.ตร.เพื่อให้พ้นวงจรแห่งอำนาจ หยุดความเสี่ยงที่ตำรวจชุดทำคดีจะถูกคำสั่งโยกย้ายโดยไม่เป็นธรรม
แต่เมื่อ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” ผู้จัดการรัฐบาล ได้ใช้บทบาทหน้าที่เล่นตามกฎ กติกา ตามที่ตนเชื่อ และกำหนดเอาเอง คือ เปิดเวที เปิดโอกาส ให้บุคคลทั้ง 4 ได้ทำรายงานชี้แจงรายละเอียดให้รับทราบในทุกเม็ดของปัญหา และอุปสรรคของคดี โดยเฉพาะประเด็นร้อน “ใครคือตอ”... “ใครคือไส้ศึก”...โดยก่อนหน้าที่จะได้อ่านรายงาน ในเช้าวันที่ 23 ก.ค. “สุเทพ เทือกสุบรรณ” สวมบทเกี่ยวก้อย “พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” ลงตรวจงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อดับกระแสร้อน ปลด “พัชรวาท” พ้น ผบ.ตร. พร้อมๆ กับการันตีว่า...เชื่อมั่นการทำงานของ พล.ต.อ.พัชรวาท และไม่ใช่ตัวขวางคดียิงนายสนธิ ขณะที่ “พัชรวาท” พูดเสริมอย่างฮึกเหิมว่า เรื่องที่ถูกต้อง พล.ต.อ.ธานี ต้องรายงานความคืบหน้าของคดีให้ตนทราบในฐานะผู้บังคับบัญชา
ต่อมา หลัง “นายสุเทพ” ได้รับรายงานของบุคคลทั้งสี่ เขากลับบอกว่า ในรายงานของ “พล.ต.อ.ธานี” ไม่ได้ระบุว่าใครคือตอ และใครคืออุปสรรคของคดี จึงทำให้เขาไม่สามารถที่จะใช้ดุลพินิจได้ว่าจะทำอย่างไร โดยเฉพาะประเด็นปลด ผบ.ตร.ที่บอกว่า ผบ.ตร.เขาไม่ได้ผิดอะไร และการโยกย้ายข้าราชการตำรวจมีระเบียบราชการที่ชัดเจน พร้อมๆ กับโยนเผือกร้อนให้ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ใช้ดุลพินิจในการแก้ปัญหาทั้งปวง...
อย่างไรก็ตาม เมื่อรายงานของบุคคล 4 คน คนที่ 1 (พล.ต.อ.ธานี) คือผู้รับผิดชอบคดีและผู้เปิดประเด็นไส้ศึก ขณะที่อีก 3 คน (พล.ต.อ.พัชรวาท, พล.ต.ท.อัศวิน, พล.ต.ท.วรพงษ์” คือผู้ที่ตกเป็นบุคคลต้องสงสัยว่าอาจจะมีส่วนรับรู้หรือรู้เห็นที่จะทำให้คดีล่าช้า....เกิดความขัดแย้งกัน เมื่อรายงานไม่ตรงกัน ต่างคนต่างมุมมอง โดยที่ “อัศวิน ขวัญเมือง” คือบุคคลที่นายรัฐมนตรีไว้วางใจเรียกเข้าพบเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม พร้อมๆ กับขีดเส้นว่า ภายใน 1-2 วันนี้ คดีจะมีความชัดเจน แต่นายกรัฐมนตรีกลับเตือนสังคมว่า...อย่าหลงประเด็น ระหว่างใครจะอยู่ตำแหน่งอะไร (พัชรวาท) กับความคืบหน้าคดียิงนายสนธิ
จากพฤติกรรมของ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” ที่ปกป้อง “พล.ต.อ.พัชรวาท” อย่างโจ่งแจ้ง และท่าทีของ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่เริ่มจะลังเลในความพยายามพิชิตคดียิงนายสนธิ หลังอ่านรายงานของทั้ง 4 บุคคล แม้จะยังยืนยันว่า อำนาจปลด ผบ.ตร.อยู่ที่ตน ขณะที่มุมมองของ “นายสุริยะใส กตะศิลา” เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ที่ออกมาวิพากษ์ว่าการที่ “สุเทพ” บอกคดีนี้ไม่เจอตอ ก็ชัดแล้วว่ามีการฮั้วกันทางผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มอำนาจต่างๆในรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว จุดจบของคดีคงจับได้เพียงผู้ร้ายปลายแถว หรือจับแพะเท่านั้น
นอกจากนั้น “สุริยะใส” ยังฟันเปรี้ยงว่า ตอตัวจริง ที่ “ธานี” ระบุก่อนหน้านี้แท้ที่จริงแล้วนั่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีอยู่ในรัฐบาล หากจะดำเนินการสางคดีนี้ให้สำเร็จก็ควรกำจัดตอที่อยู่ในรัฐบาลก่อน
“สุริยะใส” ยังคงตอกย้ำให้รัฐบาล โดยเฉพาะตัว “อภิสิทธิ์” รู้ด้วยว่า หากไม่ปลด “พัชรวาท” ต้องตอบคำถาม และมีคำอธิบายกับประชาชนให้ได้ ว่าจะห่วงเสถียรภาพรัฐบาล มากกว่าการสร้างบรรทัดฐานความถูกต้อง ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าคงเป็นไปได้ยากที่จะมีการปลด “พัชรวาท” เพราะ ผบ.ตร.เป็นหนึ่งในแกนนำของการประสานพลังอำนาจให้เกิดรัฐบาลชุดนี้ขึ้นมา หากจะปลดออกต้องอาศัยความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจ “อภิสิทธิ์” เพียงคนเดียวเท่านั้น จึงจะสามารถทำได้
จากเรื่องราวข้างต้น เมื่อมาบวกรวมกับ ภาพแห่งอารมณ์ และความพยายามของ “พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์” รอง ผบ.ตร.หลังจากได้เข้าพบ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” เมื่อศุกร์ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่เป็นอันทำให้ “พล.ต.อ.ธานี” มีอาการเครียดอย่างเห็นได้ชัด และจากวันนั้นมา “ธานี” ยังไม่พูดถึงคดียิงสนธิอีกเลย!! ...โดยมีเพียง “พล.ต.ท.อัศวิน” พระเอกในสายตานายกฯ ออกมาเคลื่อนไหว เปิดเกมรุกไล่ล่าผู้ต้องหา พร้อมกับให้ข่าวหลังพบนายกฯผ่านไป 1 วัน ว่าภายในสัปดาห์นี้ พนักงานสอบสวนเตรียมเสนอศาลเพื่อออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้เพิ่มเติมอย่างน้อย 3 คน ภายหลังพบหลักฐานใหม่ ซึ่งทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกับคดีในระดับปฏิบัติการ ขณะที่ภาพของ“พล.ต.อ.พัชรวาท” หลังศุกร์ 24 ก.ค.เช่นกัน เขากลับอยู่อย่างมีความสุข ไม่สะทกสะท้าน หรือรู้สึกรู้สากับเรื่องใดๆ ที่เกิดขึ้น หรือ กำลังจะเกิดขึ้น...
ดังนั้น เมื่อชีวิตจริง! “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เขาคือ ผู้จัดการรัฐบาล เขาจะสั่งให้ผู้นำรัฐบาลหันซ้าย แลขวา ได้ตามที่หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ได้หรือไม่... “อภิสิทธิ์” ผู้ที่มีอำนาจสูงสุด จะกล้าตัดสินใจทำอะไรให้เกิดความถูกต้องเหมาะสม ตามที่เคยพูดไว้ว่า จะปิดคดีก่อน “ธานี” เกษียณ...โดยจับตัวการใหญ่ ไม่ใช่เพียงผู้ร้ายปลายแถว หรือจับแพะ ตามที่ “สุริยะใส” ปรามาสไว้ หรือ บทสรุปสุดท้ายของคดี “ยิงสนธิ”...“ธานีจะตกเป็นเหยื่อ”...ตอใหญ่ ตัวการใหญ่อยู่ในอำนาจอย่างเสวยสุข!!!!






ขณะที่ภาพของ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี พบว่าแทบทุกครั้งเช่นกันที่ได้รับรายงานคดีโดยตรงจาก พล.ต.อ.ธานี ก็ได้ออกมายืนยันหนักแน่นที่จะทำคดีนี้ได้สำเร็จ จับผู้ร่วมขบวนการให้ได้ โดยที่นายกรัฐมนตรียืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ไม่มีการแบ่งสี แบ่งฝ่าย และไม่สนว่าผู้ต้องหาจะเกี่ยวโยงกับใคร หรือเป็นญาติกับใคร โดยได้สนับสนุนคำพูดของ พล.ต.อ.ธานี ว่าจะต้องปิดคดีได้ก่อนเกษียณอายุราชการ และจะไม่มีการต่ออายุ พล.ต.อ.ธานี เพื่อมาดูแลคดีนี้อีก
จากวันนั้น...ถึงวันนี้... หลังจากวันที่ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับบทบาทหน้าที่เคลียร์ปัญหาอุปสรรคของคดียิง “นายสนธิ” ภายใต้โจทก์ “พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร., พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร. และพล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.” คือนายตำรวจต้องสงสัยว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องในปัญหาอุปสรรคที่จะทำให้คดีนี้เกิดความล่าช้า...จนถึงขั้นมีกระแสข่าวเรียกร้องให้ปลด พล.ต.อ.พัชรวาท ออกจากตำแหน่ง ผบ.ตร.เพื่อให้พ้นวงจรแห่งอำนาจ หยุดความเสี่ยงที่ตำรวจชุดทำคดีจะถูกคำสั่งโยกย้ายโดยไม่เป็นธรรม
แต่เมื่อ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” ผู้จัดการรัฐบาล ได้ใช้บทบาทหน้าที่เล่นตามกฎ กติกา ตามที่ตนเชื่อ และกำหนดเอาเอง คือ เปิดเวที เปิดโอกาส ให้บุคคลทั้ง 4 ได้ทำรายงานชี้แจงรายละเอียดให้รับทราบในทุกเม็ดของปัญหา และอุปสรรคของคดี โดยเฉพาะประเด็นร้อน “ใครคือตอ”... “ใครคือไส้ศึก”...โดยก่อนหน้าที่จะได้อ่านรายงาน ในเช้าวันที่ 23 ก.ค. “สุเทพ เทือกสุบรรณ” สวมบทเกี่ยวก้อย “พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” ลงตรวจงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อดับกระแสร้อน ปลด “พัชรวาท” พ้น ผบ.ตร. พร้อมๆ กับการันตีว่า...เชื่อมั่นการทำงานของ พล.ต.อ.พัชรวาท และไม่ใช่ตัวขวางคดียิงนายสนธิ ขณะที่ “พัชรวาท” พูดเสริมอย่างฮึกเหิมว่า เรื่องที่ถูกต้อง พล.ต.อ.ธานี ต้องรายงานความคืบหน้าของคดีให้ตนทราบในฐานะผู้บังคับบัญชา
ต่อมา หลัง “นายสุเทพ” ได้รับรายงานของบุคคลทั้งสี่ เขากลับบอกว่า ในรายงานของ “พล.ต.อ.ธานี” ไม่ได้ระบุว่าใครคือตอ และใครคืออุปสรรคของคดี จึงทำให้เขาไม่สามารถที่จะใช้ดุลพินิจได้ว่าจะทำอย่างไร โดยเฉพาะประเด็นปลด ผบ.ตร.ที่บอกว่า ผบ.ตร.เขาไม่ได้ผิดอะไร และการโยกย้ายข้าราชการตำรวจมีระเบียบราชการที่ชัดเจน พร้อมๆ กับโยนเผือกร้อนให้ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ใช้ดุลพินิจในการแก้ปัญหาทั้งปวง...
อย่างไรก็ตาม เมื่อรายงานของบุคคล 4 คน คนที่ 1 (พล.ต.อ.ธานี) คือผู้รับผิดชอบคดีและผู้เปิดประเด็นไส้ศึก ขณะที่อีก 3 คน (พล.ต.อ.พัชรวาท, พล.ต.ท.อัศวิน, พล.ต.ท.วรพงษ์” คือผู้ที่ตกเป็นบุคคลต้องสงสัยว่าอาจจะมีส่วนรับรู้หรือรู้เห็นที่จะทำให้คดีล่าช้า....เกิดความขัดแย้งกัน เมื่อรายงานไม่ตรงกัน ต่างคนต่างมุมมอง โดยที่ “อัศวิน ขวัญเมือง” คือบุคคลที่นายรัฐมนตรีไว้วางใจเรียกเข้าพบเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม พร้อมๆ กับขีดเส้นว่า ภายใน 1-2 วันนี้ คดีจะมีความชัดเจน แต่นายกรัฐมนตรีกลับเตือนสังคมว่า...อย่าหลงประเด็น ระหว่างใครจะอยู่ตำแหน่งอะไร (พัชรวาท) กับความคืบหน้าคดียิงนายสนธิ
จากพฤติกรรมของ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” ที่ปกป้อง “พล.ต.อ.พัชรวาท” อย่างโจ่งแจ้ง และท่าทีของ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่เริ่มจะลังเลในความพยายามพิชิตคดียิงนายสนธิ หลังอ่านรายงานของทั้ง 4 บุคคล แม้จะยังยืนยันว่า อำนาจปลด ผบ.ตร.อยู่ที่ตน ขณะที่มุมมองของ “นายสุริยะใส กตะศิลา” เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ที่ออกมาวิพากษ์ว่าการที่ “สุเทพ” บอกคดีนี้ไม่เจอตอ ก็ชัดแล้วว่ามีการฮั้วกันทางผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มอำนาจต่างๆในรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว จุดจบของคดีคงจับได้เพียงผู้ร้ายปลายแถว หรือจับแพะเท่านั้น
นอกจากนั้น “สุริยะใส” ยังฟันเปรี้ยงว่า ตอตัวจริง ที่ “ธานี” ระบุก่อนหน้านี้แท้ที่จริงแล้วนั่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีอยู่ในรัฐบาล หากจะดำเนินการสางคดีนี้ให้สำเร็จก็ควรกำจัดตอที่อยู่ในรัฐบาลก่อน
“สุริยะใส” ยังคงตอกย้ำให้รัฐบาล โดยเฉพาะตัว “อภิสิทธิ์” รู้ด้วยว่า หากไม่ปลด “พัชรวาท” ต้องตอบคำถาม และมีคำอธิบายกับประชาชนให้ได้ ว่าจะห่วงเสถียรภาพรัฐบาล มากกว่าการสร้างบรรทัดฐานความถูกต้อง ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าคงเป็นไปได้ยากที่จะมีการปลด “พัชรวาท” เพราะ ผบ.ตร.เป็นหนึ่งในแกนนำของการประสานพลังอำนาจให้เกิดรัฐบาลชุดนี้ขึ้นมา หากจะปลดออกต้องอาศัยความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจ “อภิสิทธิ์” เพียงคนเดียวเท่านั้น จึงจะสามารถทำได้
จากเรื่องราวข้างต้น เมื่อมาบวกรวมกับ ภาพแห่งอารมณ์ และความพยายามของ “พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์” รอง ผบ.ตร.หลังจากได้เข้าพบ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” เมื่อศุกร์ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่เป็นอันทำให้ “พล.ต.อ.ธานี” มีอาการเครียดอย่างเห็นได้ชัด และจากวันนั้นมา “ธานี” ยังไม่พูดถึงคดียิงสนธิอีกเลย!! ...โดยมีเพียง “พล.ต.ท.อัศวิน” พระเอกในสายตานายกฯ ออกมาเคลื่อนไหว เปิดเกมรุกไล่ล่าผู้ต้องหา พร้อมกับให้ข่าวหลังพบนายกฯผ่านไป 1 วัน ว่าภายในสัปดาห์นี้ พนักงานสอบสวนเตรียมเสนอศาลเพื่อออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้เพิ่มเติมอย่างน้อย 3 คน ภายหลังพบหลักฐานใหม่ ซึ่งทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกับคดีในระดับปฏิบัติการ ขณะที่ภาพของ“พล.ต.อ.พัชรวาท” หลังศุกร์ 24 ก.ค.เช่นกัน เขากลับอยู่อย่างมีความสุข ไม่สะทกสะท้าน หรือรู้สึกรู้สากับเรื่องใดๆ ที่เกิดขึ้น หรือ กำลังจะเกิดขึ้น...
ดังนั้น เมื่อชีวิตจริง! “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เขาคือ ผู้จัดการรัฐบาล เขาจะสั่งให้ผู้นำรัฐบาลหันซ้าย แลขวา ได้ตามที่หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ได้หรือไม่... “อภิสิทธิ์” ผู้ที่มีอำนาจสูงสุด จะกล้าตัดสินใจทำอะไรให้เกิดความถูกต้องเหมาะสม ตามที่เคยพูดไว้ว่า จะปิดคดีก่อน “ธานี” เกษียณ...โดยจับตัวการใหญ่ ไม่ใช่เพียงผู้ร้ายปลายแถว หรือจับแพะ ตามที่ “สุริยะใส” ปรามาสไว้ หรือ บทสรุปสุดท้ายของคดี “ยิงสนธิ”...“ธานีจะตกเป็นเหยื่อ”...ตอใหญ่ ตัวการใหญ่อยู่ในอำนาจอย่างเสวยสุข!!!!