ศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิต “เสธ.น็อต-ผู้ใหญ่วิฑูรย์” ยิงตำรวจสืบ 1 ขณะล่อซื้อยาไอซ์เสียชีวิต 2 ศพ ส่วน “สุขุม” จำคุก 10 ปี พร้อมจ่ายชดเชยญาติผู้เสียหายกว่า 3 ล้านบาท
วันนี้ (21 ก.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 905 ศาลอาญา เมื่อเวลา 09.30 น. ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.2419/2550 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.ชานนท์ ชิณวงศ์ อายุ 44 ปี หรือ เสธ.น็อต อดีตนายทหารประจำ บก.สส.(สน.3 จชต.ยะลา) นายสุขุม หรือเบียร์ เจือแจ่มจันทร์ อายุ 32 ปี และนายวิฑูรย์ นิยกิจ อายุ 45 ปี อดีตผู้ใหญ่บ้าน เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานมีปืนและเครื่องกระสุนปืนในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต, มีอาวุธสงครามในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร, ร่วมกันฆ่า พยายามฆ่า และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่
โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 4 ก.ค.50 บรรยายความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 11 เม.ย.50 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันมีอาวุธปืนพกออโตเมติก อาวุธปืนยิงแก๊ส ติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงประทุษร้าย ด.ต.มาโนช ศรีละคร กับ ส.ต.ท.ไสว อาจหนองหว้า เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.1 จำนวนหลายนัดถึงแก่ความตาย ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าไปจับกุมจำเลยทั้งสามกับ นายแวง ที่ถูกยิงเสียชีวิต ภายในห้องเลขที่ 305 เดอะ ลิฟวิ่งรูม อพาร์ตเมนต์ เลขที่ 5073/8 แขวงและเขตดินแดง กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นที่ไว้สำหรับใช้เสพยาและค้ายาเสพติด นอกจากนี้ จำเลยยังได้ยิงต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของ ร.ต.ท.สาริษฐ์ อักษร รอง สว.กก.สส.บก.น.1 จน ร.ต.ท.สาริษฐ์ ได้รับบาดเจ็บอีกด้วย ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 140, 289 นอกจากนี้ นางสุดใจ อาจหนองหว้า มารดา ส.ต.ท.ไสว เรียกค่าเสียหายจำนวน 2,340,000 บาท และนางลัดดา ศรีละคร ภรรยาของ ด.ต.มาโนช เรียกค่าเสียหายจำนวน 2,908,000 บาท
ศาลพิเคราะห์แล้วมีปัญาหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดฐานมีปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองหรือไม่ โจทก์มี ร.ต.ท.สาริษฐ์ เบิกความยืนยันว่า ขณะเข้าจับกุมเห็นจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้ จนสามารถจับกุมจำเลยที่ 1 ได้ ค้นตัวพบอาวุธปืน 2 กระบอก ขนาด 11 มม. และ 9 มม. นอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของภรรยาจำเลยที่ 1 ว่า ก่อนเกิดเหตุ เดินทางมาพร้อมกับ จำเลยที่ 1 ที่อพาร์ตเมนต์ดังกล่าว โดยเปิดห้องพักไว้ 2 ห้อง จากนั้นจำเลยที่ 2 และ 3 จึงมาร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน ที่จำเลยที่ 2 และ 3 ปฏิเสธว่าไม่รู้จักกับจำเลยที่ 1 นั้น ขัดแย้งกับพยานโจทก์ เชื่อว่าจำเลยที่ 1-3 อยู่ร่วมกันภายในห้องพัก เชื่อว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดฐานฆ่าเจ้าพนักงาน พยายามฆ่าเจ้าพนักงานและต่อสู้ขัดขวางการจับกุมหรือไม่ โจทก์มี ร.ต.ท.สาริษฐ์ กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.1 ที่ร่วมจับกุมเบิกความในทำนองเดียวกันว่า ขณะจับกุม จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้ ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าขณะเกิดเหตุได้ยิงเสียงปืนดังขึ้นนอกห้องจึงเปิดประตูออกมาดูนั้น เห็นว่าเป็นเรื่องที่ผิดวิสัยของคนทั่วไป ขัดแย้งกับพยานหลักฐานโจทก์ ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้อง
ขณะที่จำเลยที่ 2 หลบหนีไปก่อนถูกจับกุมที่บริเวณลานจอดรถ ปรากฏว่าจากการตรวคราบเขม่าดินปืนแล้วไม่พบ จึงไม่อาจยืนยันได้ว่าจำเลยที่ 2 ยิงปืนหรือไม่ ประกอบกับไม่มีโจทก์เบิกความยืนยัน จึงยกประโยชน์ให้แก่จำเลยที่ 2 ขณะที่จำเลยที่ 3 แม้ไม่มีประจักษ์พยานเห็นว่าจำเลยที่ 3 ยิงปืนต่อสู้ แต่พบคราบเขม่าดินปืนจำนวนมากที่มือของจำเลยที่ 3 เชื่อว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่า พยายามฆ่า และต่อสู้ขัดขวางเกี่ยวข้องตามฟ้อง
พิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดฐาน ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนในครอบครอง จำคุกคนละ 4 ปี ความผิดฐานมีอาวุธสงครามในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุกคนละ 4 ปี ฐานพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะ จำคุกคนละ 2 ปี จำเลยที่ 1 และ 3 มีความผิดฐานร่วมกันฆ่าเจ้าพนักงาน พยายามฆ่าเจ้าพนักงานและต่อสู้ขัดขวางการจับกุม ลงโทษฐานฆ่าเจ้าพนักงาน อันเป็นบทหนักสุดลงโทษประหารชีวิต ฐานร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และ 3 ตลอดชีวิต และให้ลงโทษประหารชีวิตอันเป็นบทหนักสุดไว้สถานเดียว โดยไม่จำต้องรวมโทษของจำเลยที่ 1 และ 3 กับคดีหมายเลขดำที่ อย.2154/2550 รวมโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ทั้งสิ้นเป็นเวลา 10 ปี และให้นับโทษของจำเลยที่ 2 ต่อจากคดีหมายเลขดำที่ อย.2154/2550 กับให้จำเลยที่ 1 และ 3 ร่วมกันชดใช้เงินให้แก่ นางสุดใจ อาจหนองหว้า มารดา ส.ต.ท.ไสว จำนวน 1,180,000 บาท และนางลัดดา ศรีละคร ภรรยาของ ด.ต.มาโนช จำนวน 2,440,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
ก่อนหน้านี้ศาลอาญามีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อย.2154/2550 ที่ พ.ต.ชานนท์, นายสุขุม และนายวิฑูรย์ เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐาน พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 สมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด, ร่วมกันมียาไอซ์ ยาอี เพื่อจำหน่าย, จัดหาที่พำนักหรือที่ซ่อนเร้นเพื่อช่วยเหลือแก่ผู้กระทำผิด โดยพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และ 3 มีความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด, ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 เพื่อจำหน่ายและจำหน่าย และร่วมกันเสพยาเสพติด รวมจำคุกจำเลยที่ 1 และ 3 คนละ 58 ปี แต่ให้จำคุกไว้สูงสุดที่ 50 ปี ตามกฎหมาย และปรับ 3.6 ล้านบาท
ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด , ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) เพื่อจำหน่ายและจำหน่าย, ฐานเสพยาเสพติด และ ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม โดยจำเลยที่ 2 ให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสี่ รวมจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้เป็นเวลา 15 ปี 18 เดือน ปรับ 9 แสนบาท ริบของกลาง
คุก 50 ปี “เสธ.น็อต” เปิดห้องมั่วยา - อ่วม! รอตัดสินยิง ตร.ตายอีกคดี
ถึงเวลาที่ต้องปกป้องชีวิต"สายสืบ-ผู้ปิดทองหลังพระ"หรือยัง?
สลด!ดาบตำรวจปะทะแก๊งพ.ต.ค้ายาไอซ์เสียชีวิตแล้ว!
ญาติเตรียมเคลื่อนศพ “ส.ต.ท.ไสว” กลับบ้านเกิดคืนนี้
“อดิศร” ถามหาเสื้อเกราะ! หลังตำรวจถูกแก๊งค้ายายิง “ตาย-เจ็บ”
ป.ป.ส.ร่วมแกะรอยแก๊ง “พันตรี” ค้ายาไอซ์
ระทึก! ตร.พลีชีพ 1 ศพเจ็บหนัก 2 ดวลสนั่นแก๊ง พ.ต.ค้ายาไอซ์!!