คำรามปืนของชายฉกรรจ์เสื้อสีขาวกางเกงลายพรางทำลายความเงียบสงัดของอรุณรุ่งวันที่ 17 เมษายน 2552 ลูกกระสุนจากอาวุธปืนสงครามทั้งเอ็ม 16 อาก้า เอชเค และเอ็ม 203 วิ่งจากแมกกาซีนแหวกอากาศดั่งห่าฝนนับร้อยลูก เป้าหมายคือสิ่งมีชีวิตทั้งหมดภายใน รถโตโยต้า เวลไฟร์ สีดำ ทะเบียน วล 89 กทม.
นิ่งราวสรรพสิ่งหยุดเคลื่อนไหว เสียงหูดับตับไหม้เงียบงันลง พร้อมกับเสียงหวีดร้องระงมอย่างขวัญเสียของคนละแวกนั้น สักครู่ปรากฏกายของหนุ่มใหญ่ร่วงท้วม ตัดผมเกรียน สวมแว่นตา ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว ที่บัดนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงฉานเดินลงจากรถที่พรุนไปด้วยคมกระสุนปืนเจาะ จอดสนิทอยู่หน้าวัดเอี่ยมวรนุช สี่แยกบางขุนพรหม ถนนสามเสน แขวงบ้านพานถม เขตพระนคร กทม.
แววตาเขาสงบนิ่งราวกับเหตุการณ์เฉียดตายที่ประสบตรงหน้าเมื่อชั่วครู่คือฝันร้าย มือขวาถือทิชชูคอยซับเช็ดเลือดที่ไหลย้อยลงจากบาดแผลบริเวณขมับขวาเข้าตา เขาเดินสำรวจความเคลื่อนไหวต่างๆ รอบตัว พยายามตั้งสติ แต่สัตว์นรกที่หมายมาดปลิดชีวิตเขาหลบหนีไปแล้ว ทิ้งเพียงปลอกกระสุนเกลื่อนกราดบนพื้นยางมะตอยนับร้อยปลอก และความเจ็บปวดในจิตใจของลูกผู้ชายคนหนึ่ง
ชายวัยกลางคนร่างท้วมสวมแว่นตาคนนั้นนาม “สนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้จุดเทียนแห่งธรรมนำภาคประชาชนโค่นล้มระบบอบทักษิณ ขวางทางความเลวระยำของข้าราชการ และนักการเมืองที่ร่วมสุมหัวสยายปีกอุบาทว์เตรียมยึดอำนาจมาเสวยสุข ระหว่างที่แดงถ่อยป่วนจนรัฐบาล “อภิสิทธิ์” อยู่ในช่วงสูญญากาศ เขาเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อสถาปนาการเมืองใหม่ที่หลายคนตั้งตารอคอยว่าจะบังเกิดเกิดขึ้นในสยามประเทศและเข้าขัดขวางแผนชั่วของบุคคลเหล่านั้น
เข็มนาฬิกาย้อนกลับไปเมื่อเวลา 05.30 น. ขณะที่นายสนธินั่งรถยนต์คันดังกล่าวมาจากบ้านพักย่านถนนสุโขทัย เพื่อมาจัดรายการ “กู๊ดมอร์นิ่ง ไทยแลนด์” ที่สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ถนนพระอาทิตย์ พร้อมด้วยนายอดุลย์ แดงประดับ โชเฟอร์ และนายวายุภักดิ์ มัลคละสินธุ์ ผู้ติดตาม เมื่อล้อเคลื่อนออกจากประตูรั้วบ้าน รถกระบะมาสด้าหนึ่งในทีมสังหารก็เข้าประกบห่างๆ จนมาถึงที่เกิดเหตุ ศัพท์ทางการรบของทหารเรียกพื้นที่ตรงนั้นว่า “คิลลิ่งโซน” หรือ “ทุ่งสังหาร”
“เป้าหมายมาถึงแล้ว เข้าโจมตีได้” เสียงปลายสายจากชายในรถกระบะมาสด้า โทร.สั่งการออกไป
และอย่างรวดเร็ว รถทีมล่าสังหารกระบะโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีเปลือกมังคุด ทะเบียน บธ 1474 ลพบุรี ทะยานวิ่งแซงปาดหน้ารถเวลไฟร์ ก่อนชาย 2 คน เสื้อสีขาวกางเกงลายพราง ที่นอนหมอบอยู่ท้ายรถถลันตัวพรวดประทับปืนในท่ายืนยิง อีกคนประทับปืนในท่านั่งยิง
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงราวฟ้าคำรามในพายุฝน ปลุก พระ เณร ในวัดเอี่ยมวรนุชที่เตรียมออกบิณฑบาต เด็กปั๊มน้ำมันคาลเท็กซ์กำลังเตรียมออกเวร โชเฟอร์-กระเป๋ารถเมล์วิ่งเที่ยวแรก และชาวบ้านร้านช่องละแวกนั้น ต่างแตกตื่นในเริ่มต้นของวันใหม่
กระสุนปืนเอ็ม 79 นัดหนึ่งตกใส่รถเมล์ร่วมบริการฯ สาย 30 เดชะบุญระเบิดไม่ทำงาน นอกจากนี้ กระสุนจำนวนหนึ่งถูกยิงใส่ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์เพื่อฆ่าปิดปากแต่ก็หลบได้หวุดหวิด
เมื่อมั่นใจว่าต้องมีความสูญเสียจากการระดมยิง ทั้งหมดจึงบึ่งรถหนีไปตามถนนสามเสน มุ่งหน้าไปแยกบางลำพู แล้วเลี้ยวขวาตรงแยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง ก่อนจะขึ้นสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า หนีออกนอกเมืองไปพร้อมกัน
นี่คือปฏิบัติการเย้ยกฎหมายบ้านเมือง เพราะวันดังกล่าวอยู่ระหว่างประกาศ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ทหารถือปืนยืนรักษาการณ์กันเต็มบ้านเต็มเมือง ประจำทุกจุดตามสี่แยกเส้นทางสายหลัก โดยเฉพาะบริเวณใกล้ “ทุ่งสังหาร” แยกบางขุนพรม ใกล้รั้วกองทัพบก ศูนย์บัญชาการด้านความมั่นคงใจกลางเมืองหลวง
หลังควันปืนพบว่า นายสนธิได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลฉีกขาดบริเวณใบหน้าด้านขวายาว 3 เซนติเมตร จากการเอกซเรย์พบเศษโลหะฝังอยู่ในกะโหลกลึกประมาณครึ่งเซนติเมตร
นายวายุภักดิ์ คนติดตามบาดเจ็บเล็กน้อย ส่วน นายอดุลย์ โชเฟอร์อาการสาหัส!
“มืออาชีพ” โชเฟอร์รถเมล์สาย 53 ระบุ “โหดเหี้ยม ไม่เกรงกลัวกฎหมาย” กระเป๋าเสริม “ไล่ฆ่ากันอย่างกับบ้านเมืองไร้ขื่อแป” ชาวบ้านอีกรายที่เห็นเหตุการณ์เข้ามาร่วมวงสนทนา “ยืนยันว่าเห็นเหตุการณ์อย่างละเอียดตั้งแต่คนร้ายเริ่มลงมือจนเหตุการณ์ยุติ” ซึ่งคนร้ายได้พยายามสังหารพยานโดยการยิงใส่ แต่พยานหลบทัน
สายวันเดียวกัน พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองแม่ทัพสีกากีรับผิดชอบ กองบัญชาการตำรวจนครบาล จ้อหน้ากล้อง หลังเรียกเจ้าหน้าที่ประชุมสืบสวนสอบสวนหาตัวคนร้ายที่ สน.ชนะสงครามว่า “ยังไม่ตัดประเด็นเรื่องส่วนตัว และชู้สาว” สร้างความกังขาและระแวง นายพลหน้าขาวคนนี้ว่าเขาเข้ามารับหน้าที่ตัดตอนคดีหรือไม่? เพราะเขาถือเป็นไม้เบื่อไม้เมากับ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” โดยเฉพาะ “สนธิ ลิ้มทองกุล” เหยื่อทีมล่าสังหาร
คดีเป็นไปอย่างเรื่อยเฉื่อยไม่มีความคืบหน้าใดๆ นอกจากพ่นน้ำลายหน้ากล้อง หลายคนเริ่มอิดหนาระอาใจถึงการทำหน้าที่ของเขา โดยเฉพาะ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ที่แทบจะเลิกหวังกับบุคคลในเครื่องแบบ ที่ถูกมอบหมายให้รักษากฎหมายบ้านเมือง
“หากฆ่าสนธิได้ ก็ฆ่าอภิสิทธิ์ได้” ชายร่างท้วมพูดพร้อมมองลอดแว่นออกไปเบื้องหน้า ไม่มีใครรู้ว่า เขาเจ็บปวดรวดร้าวแค่ไหน แผลนอกกายไม่เท่าไหร่ รักษาไม่กี่วันก็หาย แต่แผลในใจต้องใช้เวลาเยียวยาทั้งชีวิตก็ไม่มีวันหายขาด หากคนที่คิดร้ายกับเขายังลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคม
“ผมอโหสิกรรมให้คนที่คิดร้ายกับผม” เขาว่าต่อ
“มีเพียงนายกฯ อภิสิทธิ์ ที่เป็นห่วงเป็นใย ส่วนคนอื่นไม่ได้แสดงอาการรู้ร้อนรู้หนาวเลย” น้ำเสียงบ่งบอกถึงความน้อยใจของแกนนำภาคประชาชนที่โค่นล้มรัฐบาลเผด็จการรัฐสภาได้ถึง 3 สมัย
แต่ในความมืดย่อมมีแสงสว่างเสมอ เมื่อฟ้าเปิด นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เรียก “นายพลไม้บรรทัด” พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนายตำรวจ มือ สะอาดคนหนึ่งที่แทบนับหัวได้ในกรมปทุมวันยุคปัจจุบันเข้าพบ เขากลับออกมาพร้อมคำสั่ง ให้ควบคุมคดีดังกล่าว แถมให้รายงาน นายกฯอภิสิทธิ์ โดยตรง ท่ามกลางความไม่พอใจของสายอำนาจอีกขั้ว
“เจอตอ”
“ลูกน้องผมถูกข่มขู่ ถอดใจไปหลายคน”
“มีไส้ศึกในชุดคลี่คลายคดี”
สารพัดสารพันปัญหาออกมาจากปากนายพลไม้บรรทัด ซึ่งเขาเหลือเวลาสวมเครื่องแบบสีกากีที่เขารักอีกไม่ถึง 4 เดือน กับเผือกร้อนคดีระดับประเทศที่ถืออยู่ในมือ หากเป็นนายพลคนอื่นคงเลือกที่จะนั่งกระดิกเท้าในห้องแอร์ ตีกอล์ฟกับนักธุรกิจสีเทา และแบมือรับเศษเงินอุบาทว์นอกระบบ เพื่อเตรียมตัวเสวยสุขบั้นปลายชีวิตหลังเกษียณ แต่นั่นไม่ใช่วิถีทางของตำรวจอาชีพอย่างเขา
“ผมต้องทำคดีให้เสร็จสิ้นก่อนเกษียณแน่นอน” นายพลร่างใหญ่ พูดจาด้วยแววตาขึงขัง
แล้วเวลาก็ผ่านไปเกือบ 3 เดือน ทุกอย่างเงียบงันไม่มีอะไรหลุดจากปากทีมสืบสวน แต่ในความเงียบ ทีมสืบสวนยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานหาข้อมูลหลักฐานหามรุ่งหามค่ำ โดยส่งกำลังตามประกบทีมสังหารและลงพื้นที่ลพบุรีชนิดเกาะติดหายใจรดต้นคอ
แล้วก็ยึดกระบะโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีเปลือกมังคุด ทะเบียน บธ 1474 ลพบุรี ของ น.ส.รัศมี เมฆชัย วัย 27 ปี ลูกจ้างชั่วคราวหน่วยรบพิเศษป่าหวาย ลพบุรี ที่หลักฐานกล้องวงจรปิด CCTV สามารถบันทึกรถที่คนร้ายไว้ได้ โดยภาพ พบรถจอดอยู่เวลา 04.46 น.ต่อมาได้ขับออกไป จากนั้นในเวลา 05.44 น.พบภาพทีวีวงจรปิดจากปั๊มน้ำมันอีกแห่งหนึ่งในถนนสายเดียวกัน แต่เป็นเส้นขาออกในเวลา 05.44 น.
และเมื่อได้จำลองเหตุการณ์ว่า รถยนต์กระบะวีโก้ได้มาจอดรถเวลาที่ปั๊มน้ำมัน ก่อนที่จะเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ โดยที่รถกระบะมาสด้า ได้ทำการประกบรถของ นายสนธิ มาจาก บ้านพัก จากนั้นจึงมาลงมือพร้อมกัน ก่อนที่จะวิ่งประกบตามกันมาเลี้ยวขวาตรงแยกคอกวัว ถ.ราชดำเนินกลาง ก่อนจะขึ้นสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ออกนอกเมืองไปพร้อมกัน
จากเส้นทางที่รถทีมล่าสังหาร ผ่านหน้ากล้องวงจรปิด CCTV ทำให้ยืนยันได้ว่าเป็นพาหนะพาทีมสังหาร จึงได้เสนอออกหมายจับ “ส.ต.อ.วรวุฒิ มุ่งสันติ” และ “จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา”
โดยประวัติ 2 ผู้ต้องหาชุดแรก ถือว่าไม่ธรรมดา เริ่มที่ “ส.ต.อ.วรวุฒิ มุ่งสันติ” ผบ.หมู่ศูนย์การข่าวบช.ปส. ช่วยราชการกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยการไปช่วยราชการที่ดีเอสไอ พบว่า ส.ต.อ.วรวุฒิ มีสายสัมพันธ์อันดีกับบิ๊กดีเอสไอ อีกทั้งเมื่อครั้งอยู่ที่ บช.ปส.เคยมีความใกล้ชิด หรือเรียกว่าเคยรับใช้ “บิ๊ก ตร.” ที่อดีตเคยกำกับดูแล บช.ปส.มาก่อน ทั้งยังมีสัมพันธ์ที่แนบแน่นราวกับญาติสายโลหิตกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ดังนั้น การที่ ส.ต.อ.วรวุฒิ ซึ่งนอกจากจะเกลียด นายสนธิ และเอเอสทีวี อย่างชนิดเข้าไส้แล้ว การเข้าไปร่วมขบวนการสังหารครั้งนี้ อาจถือได้ว่าเป็นการแทนคุณ “นาย”
มาถึง จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา เขาเป็นทหารในสังกัดกรมรบพิเศษที่ 3 ต.เขาสามยอด จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นหน่วยลูกของกองพลรบพิเศษที่ 1 แต่ถูกเรียกตัวไปช่วยราชการที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งขณะนั้นถูกเรียกตัวไปช่วยงาน พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร อดีต รมว.กลาโหม ให้ไปทำงานใน กอ.รมน.
ทั้ง “วรวุฒิ และ ปัญญา” เขาคือ 2 ทีมงานภายใต้การบัญชาการฆ่า ของ “พ.อ.(ส)” ตัวละครที่มีบทบาทสำคัญในปฏิบัติการล่าสังหาร “สนธิ” โดยพบว่า “พ.อ.” หลังจากงานเสร็จสิ้นได้โทรศัพท์รายงานผลต่อ “บิ๊กสีเขียว” ผู้มีอำนาจระดับสูงในรัฐบาลชุดนี้ จากนั้นได้โทร.ติดต่อนายตำรวจระดับสูง พ.ต.อ.(ท) ซึ่งเป็นเพื่อนเตรียมทหารรุ่นที่ 21 ด้วยกัน และมีความสัมพันธ์อันดีกับน้องสาวคนหนึ่งของผู้นำกลุ่มอำนาจเก่า และโทร.ทางไกลไปดูไบ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นแหล่งกบดานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลายครั้ง
ว่ากันว่า ทีมสืบสวนคดีดังกล่าวรู้ตัวผู้บงการใหญ่หมดแล้ว เหลือเพียงหาหลักฐานเชื่อมโยงเท่านั้น เพราะทุกขั้นตอนการทำงานต้องรัดกุมที่สุด เพื่อจะมัดตัวฆาตรกรมือเปื้อนเลือดที่สั่งยิงคนขวางทางสู่อำนาจมืดและล้างแค้นให้สายโลหิตจนดิ้นไม่หลุด! และเมื่อถึงเวลานั้นหวังว่าบาดแผลในจิตใจของชายร่างท้วมวัยกลางคนคงหายสนิท