ตำรวจสายสืบคันนายาว จับกุมหนุ่มตาคลีอ้างตัวเป็นตำรวจสายสืบ ตระเวนหาเหยื่อขู่กรรโชกทรัพย์ แต่นายจ้างเหยื่อเอะใจโทรศัพท์เช็กไปที่โรงพักไม่มีชื่อตำรวจตามที่อ้าง เลยแจ้งตำรวจสายสืบตัวจริงเสียงจริงไปจับกุมมาดำเนินคดี เจ้าตัวรับสารภาพจำแบบอย่างมาจากคนอื่นอีกที โดยตำรวจเชื่อกระทำมากับเหยื่อหลายราย ประชาสัมพันธ์ให้ไปดูตัวได้ที่โรงพัก
วันนี้ (20 ก.ค.) เมื่อเวลา 16.30 น.ที่ สน.คันนายาว พ.ต.อ.หาญ เลิศทวีวิทย์ ผกก.สน.คันนายยาว พ.ต.ท.ศักดิ์ชาย สุวรรณนุกูล สว.สส. พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสน.คันนายาว แถลงการจับกุม นายสมพิศ หรือเบี้ยว หรือออฟ สิงห์สูง อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 158/2 ถนนทวีชัย ต.ตาคลี อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ พร้อมของกลางบัตรประชาชนของนายอัธพล ประเสริฐ อายุ 28 ปี จำนวน 1 ใบ ยาบ้า 4 เม็ด มีดพกปลายแหลม 1 เล่ม โทรศัพท์มือถือยี่ห้อต่างๆ 7 เครื่อง ซิมการ์ด 22 อัน การ์ดบันทึกความจำ 46 อัน บัตรเครดิตและบัตรเอทีเอ็มธนาคารต่างๆ 3 ใบ บัตรประชาชนของผู้เสียหายรายอื่นๆ 2 ใบ พระเครื่อง 4 องค์ วิทยุสื่อสารไอคอม 1 ตัว
พ.ต.ท.ศักดิ์ชายกล่าวว่า การจับกุมนายสมพิศครั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อเวลา 12.00 น.วันนี้ ขณะที่นายอัธพล ผู้เสียหาย ลูกจ้างร้านอะลูมิเนียมแห่งหนึ่งในซอยคู้บอน ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ของตัวเองไปเติมน้ำมันที่ปั๊มหลอดแห่งหนึ่งในซอยดังกล่าว ขณะนั้นผู้ต้องหาได้ขับขี่รถจักรยานยนต์เข้าไปประกบนายอัธพล พร้อมทั้งแสดงตัวว่าเป็นตำรวจฝ่ายสืบสวนของ สน.คันนายาว และขอตรวจค้นในตัว พร้อมทั้งขู่กรรโชกขอเงินจากการไม่ถูกดำเนินในคดีข้อหาเสพยาบ้าเป็นเงิน 5 พันบาท แต่ผู้เสียหายได้ต่อรองจนเหลือ 2,000 บาท และให้นายสมพิศขับรถจักรยานยนต์ตามไปเอาเงินร้านอะลูมิเนียมที่ทำงานอยู่ และเมื่อผู้ต้องหาขับตามไปถึงร้าน ทางเจ้าของร้านเกิดความสงสัยจึงได้โทรศัพท์ไปตรวจสอบที่ สน.คันนายาว ปรากฏว่าไม่มีชื่อตำรวจตามที่นายสมพิศอ้างอยู่ในโรงพัก ตำรวจฝ่ายสืบสวนจึงตามไปจับกุมนายสมพิศไว้ได้
จากการสอบสวน นายสมพิศให้การรับสารภาพว่าปกติมีอาชีพรับจ้างจากบริษัทไฟแนนซ์ให้ไปยึดรถขาดส่งเป็นครั้งเป็นคราวไป โดยไม่ได้เป็นพนักงานของทางบริษัท ซึ่งได้รับจ้างให้ไปดักรอเจ้าของรถ เมื่อพบก็จะเข้ายึดรถส่งให้กับบริษัทในทันที ก่อนหน้านี้เคยมีเพื่อนชื่อโต้ง จะก่อเหตุในลักษณะดังกล่าวมาก่อน ด้สยการขับขี่รถจักรยานยนต์ตระเวนหาผู้เสียหายที่มีลักษณะคล้ายคนเสพยา และเมื่อพบก็จะเข้าไปแสดงตัวอ้างเป็นตำรวจฝ่ายสืบสวน ทำการต่อรองขอเงินเพื่อแลกกับการไม่ถูกดำเนินคดี ซึ่งในแต่ละครั้งจะได้เงินจากเหยื่อประมาณ 1,500 บาท สูงสุดประมาณ 2,000 บาท เมื่อได้เงินมาก็จะเก็บไว้ใช้จ่ายส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งนำไปซื้อยาบ้ามาเสพ
“จากการตรวจค้นภายในตัวนายสมพิศพบโทรศัพท์มือถือถึง 7 เครื่อง ซิมการ์ดอีกหลายสิบชิ้น ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นของผู้เเสียหายรายอื่นๆ ที่ถูกผู้ต้องหาขู่กรรโชกมา จึงขอประชาสัมพันธ์ไปยังผู้ที่เคยถูกก่อเหตุในลักษณะดังกล่าว ให้ไปดูตัวผู้ต้องหาได้ที่ สน.คันนายาว” พ.ต.ท.ศักดิ์ชายกล่าว
พ.ต.ท.ศํกดิ์ชายกล่าวต่อว่า จากากรตรวจสอบประวัตินายสมพิศ พบว่ามีหมายจับในท้องที่ต่างๆ ถึง 6 ท้องที่ ที่ สน.ลาดพร้าวมี 2 หมายจับ ในข้อหากรรโชกทรัพย์โดยขู่ว่าจะฆ่า และหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น และข้อหาลักทรัพย์ในปี 2547 ที่ สน.พหลโยธิน ถูกจับกุมในข้อหาค้ายาบ้า 70 เม็ด เมื่อปี 2549 ที่ สภ.เมืองนนทบุรี คดียักยอกทรัพย์ และหมายจับที่ สน.หัวหมากและ สน.มีนบุรี ตั้งแต่ปี 2540 จนคดีหมดอายุความไปแล้ว
เบื้องต้น ตำรวจแจ้งข้อหาแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงานโดยตนเองมิได้เป็นเจ้าพนักงาน ข้อหาพยายามกรรโชกทรัพย์ ข้อหามียาเสพติดประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฏหมาย และข้อหา พกพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ก่อนจะควบคุมตัวไว้สอบสวนขยายผลและดำเนินคดีต่อไป
วันนี้ (20 ก.ค.) เมื่อเวลา 16.30 น.ที่ สน.คันนายาว พ.ต.อ.หาญ เลิศทวีวิทย์ ผกก.สน.คันนายยาว พ.ต.ท.ศักดิ์ชาย สุวรรณนุกูล สว.สส. พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสน.คันนายาว แถลงการจับกุม นายสมพิศ หรือเบี้ยว หรือออฟ สิงห์สูง อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 158/2 ถนนทวีชัย ต.ตาคลี อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ พร้อมของกลางบัตรประชาชนของนายอัธพล ประเสริฐ อายุ 28 ปี จำนวน 1 ใบ ยาบ้า 4 เม็ด มีดพกปลายแหลม 1 เล่ม โทรศัพท์มือถือยี่ห้อต่างๆ 7 เครื่อง ซิมการ์ด 22 อัน การ์ดบันทึกความจำ 46 อัน บัตรเครดิตและบัตรเอทีเอ็มธนาคารต่างๆ 3 ใบ บัตรประชาชนของผู้เสียหายรายอื่นๆ 2 ใบ พระเครื่อง 4 องค์ วิทยุสื่อสารไอคอม 1 ตัว
พ.ต.ท.ศักดิ์ชายกล่าวว่า การจับกุมนายสมพิศครั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อเวลา 12.00 น.วันนี้ ขณะที่นายอัธพล ผู้เสียหาย ลูกจ้างร้านอะลูมิเนียมแห่งหนึ่งในซอยคู้บอน ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ของตัวเองไปเติมน้ำมันที่ปั๊มหลอดแห่งหนึ่งในซอยดังกล่าว ขณะนั้นผู้ต้องหาได้ขับขี่รถจักรยานยนต์เข้าไปประกบนายอัธพล พร้อมทั้งแสดงตัวว่าเป็นตำรวจฝ่ายสืบสวนของ สน.คันนายาว และขอตรวจค้นในตัว พร้อมทั้งขู่กรรโชกขอเงินจากการไม่ถูกดำเนินในคดีข้อหาเสพยาบ้าเป็นเงิน 5 พันบาท แต่ผู้เสียหายได้ต่อรองจนเหลือ 2,000 บาท และให้นายสมพิศขับรถจักรยานยนต์ตามไปเอาเงินร้านอะลูมิเนียมที่ทำงานอยู่ และเมื่อผู้ต้องหาขับตามไปถึงร้าน ทางเจ้าของร้านเกิดความสงสัยจึงได้โทรศัพท์ไปตรวจสอบที่ สน.คันนายาว ปรากฏว่าไม่มีชื่อตำรวจตามที่นายสมพิศอ้างอยู่ในโรงพัก ตำรวจฝ่ายสืบสวนจึงตามไปจับกุมนายสมพิศไว้ได้
จากการสอบสวน นายสมพิศให้การรับสารภาพว่าปกติมีอาชีพรับจ้างจากบริษัทไฟแนนซ์ให้ไปยึดรถขาดส่งเป็นครั้งเป็นคราวไป โดยไม่ได้เป็นพนักงานของทางบริษัท ซึ่งได้รับจ้างให้ไปดักรอเจ้าของรถ เมื่อพบก็จะเข้ายึดรถส่งให้กับบริษัทในทันที ก่อนหน้านี้เคยมีเพื่อนชื่อโต้ง จะก่อเหตุในลักษณะดังกล่าวมาก่อน ด้สยการขับขี่รถจักรยานยนต์ตระเวนหาผู้เสียหายที่มีลักษณะคล้ายคนเสพยา และเมื่อพบก็จะเข้าไปแสดงตัวอ้างเป็นตำรวจฝ่ายสืบสวน ทำการต่อรองขอเงินเพื่อแลกกับการไม่ถูกดำเนินคดี ซึ่งในแต่ละครั้งจะได้เงินจากเหยื่อประมาณ 1,500 บาท สูงสุดประมาณ 2,000 บาท เมื่อได้เงินมาก็จะเก็บไว้ใช้จ่ายส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งนำไปซื้อยาบ้ามาเสพ
“จากการตรวจค้นภายในตัวนายสมพิศพบโทรศัพท์มือถือถึง 7 เครื่อง ซิมการ์ดอีกหลายสิบชิ้น ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นของผู้เเสียหายรายอื่นๆ ที่ถูกผู้ต้องหาขู่กรรโชกมา จึงขอประชาสัมพันธ์ไปยังผู้ที่เคยถูกก่อเหตุในลักษณะดังกล่าว ให้ไปดูตัวผู้ต้องหาได้ที่ สน.คันนายาว” พ.ต.ท.ศักดิ์ชายกล่าว
พ.ต.ท.ศํกดิ์ชายกล่าวต่อว่า จากากรตรวจสอบประวัตินายสมพิศ พบว่ามีหมายจับในท้องที่ต่างๆ ถึง 6 ท้องที่ ที่ สน.ลาดพร้าวมี 2 หมายจับ ในข้อหากรรโชกทรัพย์โดยขู่ว่าจะฆ่า และหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น และข้อหาลักทรัพย์ในปี 2547 ที่ สน.พหลโยธิน ถูกจับกุมในข้อหาค้ายาบ้า 70 เม็ด เมื่อปี 2549 ที่ สภ.เมืองนนทบุรี คดียักยอกทรัพย์ และหมายจับที่ สน.หัวหมากและ สน.มีนบุรี ตั้งแต่ปี 2540 จนคดีหมดอายุความไปแล้ว
เบื้องต้น ตำรวจแจ้งข้อหาแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงานโดยตนเองมิได้เป็นเจ้าพนักงาน ข้อหาพยายามกรรโชกทรัพย์ ข้อหามียาเสพติดประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฏหมาย และข้อหา พกพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ก่อนจะควบคุมตัวไว้สอบสวนขยายผลและดำเนินคดีต่อไป