รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหามงกุฎฯ ร้องดีเอสไอ ตรวจสอบบริษัทเอกชนแอบอ้างชื่อสถาบันหลอกลวงประชาชนเรี่ยไรเงินสร้างหนังพระไตรปิฎก พบมีผู้เสียหายจำนวนมากและมียอดเงินบริจาคแล้วไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท
วันนี้ (3 ก.ค.) เวลา 14.30 น.ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พระมหาปัญญา ปัญญาวุฑโฒ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย นายสงกรานต์ อัฉริยทรัพย์ ทนายความรับมอบอำนาจจาก อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหามกุฎวิทยาลัย เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษกับบริษัทเอกชนบริษัทหนึ่งและกลุ่มบุคคล ที่แอบอ้างนำชื่อและตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย และสถาบันพระมหากษัตริย์ นำไปใช้แสวงหาผลประโยชน์ด้วยการทุจริต ทำให้มหาวิทยาลัยได้รับความเสื่อมเสียชื่อเสียง พร้อมทั้งได้นำโปสเตอร์ที่ทางบริษัทดังกล่าวพิมพ์เผยแพร่ชวนเชื่อให้ประชาชนร่วมบริจาคเงินจัดสร้างภาพยนตร์วีซีดีพระไตรปิฎก
นายสงกรานต์ กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจากอธิการบดีฯให้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อดีเอสไอ เนื่องจากได้รับข้อมูลว่ามีประชาชนหลงเชื่อขบวนการดังกล่าว โดยมีผู้เสียหายจำนวนมากมียอดเงินบริจาคที่เปิดบัญชีธนาคารต่างๆ ถึง 8 บัญชี มีเงินไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท โดยระบุว่าจะได้รับแผ่นวีซีดีและดีวีดีพระไตรปิฎก เพื่อไปเผยแพร่ ซึ่งคดีนี้มีความสลับซับซ้อนกว่าคดีพระสมเด็จเหนือหัว เนื่องจากมีการกระทำอย่างอุกอาจไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายและศีลธรรม จึงอยากให้ประชาชนที่หลงเขื่อขบวนการดังกล่าวเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อจะได้ขอรับเงินที่ได้บริจาคไปคืน สำหรับขบวนการดังกล่าวพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐและบริษัทเอกชนร่วมมือกันเป็นขบวนการ ทั้งนี้บริษัทเอกชนดังกล่าวจะเปลี่ยนชื่อบริษัทไปเรื่อยๆ
นายสงกรานต์ กล่าวอีกว่า ได้รับข้อมูลว่ามีเจ้าหน้าที่สำนักพุทธศาสนาบางคนได้ปลอมเอกสารเพื่อขออนุมัติงบประมาณจากรัฐบาลสมัย นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี จำนวน 99 ล้านบาท ต่อมารัฐบาลเห็นชอบให้อนุมัติในหลักการโดยสั่งจ่ายเงินจำนวน 99 ล้านบาทให้กับสำนักพุทธศาสนา แต่มหาวิทยาลัยไปตรวจสอบ พบว่า ชื่อบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทเอกชนที่เคยมาติดต่อขอจัดทำ และมีพฤติกรรมเข้าข่ายหลอกลวงประชาชนจึงทำเรื่องให้ระงับเงินดังกล่าวไม่ให้มีการเบิกจ่าย
ด้าน พระมหาปัญญา กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเป็นเพียงที่ปรึกษาในรายละเอียดเนื้อหาของพระไตรปิฎก โดยทางบริษัทเอกชนดังกล่าวได้มาขอคำปรึกษา ซึ่งทางมหาวิทยาลัย เห็นว่า เป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจึงยินยอมให้จัดสร้าง แต่ต่อมามีการทำโปสเตอร์ไปเรี่ยรายรับบริจาคเงินซึ่งผิดวัตถุประสงค์ และยืนยันว่า ทางมหาวิทยาลัยไม่เกี่ยวข้องและไม่รับรู้เรื่องการเรี่ยรายเงินดังกล่าว
ขณะที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีลักษณะฉ้อโกงประชาชนคล้ายกับคดีพระสมเด็จเหนือหัว จึงมอบหมายให้ พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ ดำเนินการรวบรวมพยานเอกสารหลักฐาน และตั้งคณะทำงาน อย่างไรก็ตามคดีดังกล่าวเป็นความผิดทางอาญาและยังกระทบต่อความมั่นคงของพุทธศาสนา