ดีเอสไอเร่งสอบตุ๋นสร้างวีซีดี “พระไตรปิฎก”

ดีเอสไอขอความร่วมมือผู้เสียหายจากการรับเรี่ยไรบริจาคเงินสร้างภาพยนตร์วีซีดี “พระไตรปิฎก” เข้าให้ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 14 ก.ค.เป็นต้นไป

วันนี้ 12 ก.ค.พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปืดเผยว่า หลังจากที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีดีเอสไอ ให้ดำเนินคดีต่อบุคคล นิติบุคคล และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงขอรับบริจาคเงินสมทบทุนสร้างภาพยนตร์วีซีดี “พระไตรปิฎก” ด้วยการแอบอ้างนำชื่อและตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยไปใช้แสวงหาผลประโยชน์ด้วยการทุจริต ทำให้มหาวิทยาลัยเสื่อมเสียชื่อเสียง พร้อมทั้งจัดพิมพ์โปสเตอร์เผยแพร่ชวนให้ประชาชนร่วมบริจาคเงินจัดสร้างภาพยนตร์วีซีดีพระไตรปิฎก ซึ่งทางมหาวิทยาลัยยืนยันว่าเป็นเพียงที่ปรึกษาในรายละเอียดเนื้อหาของพระไตรปิฎก และไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการเรี่ยไร่เงินดังกล่าว ทำให้มีประชาชนหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อบริจาคเงินกว่า 50 ล้านบาท ขณะนี้ตนได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.ณรงค์ชัย บุญประเสริฐ หัวหน้าชุดปฏิบัติการ ส่วนคดีอาญาพิเศษ 2 รับผิดชอบสืบสวนข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวแล้ว

พ.อ.ปิยะวัฒก์ กล่าวด้วยว่า คณะพนักงานสอบสวนต้องขอความร่วมมือจากประชาชน หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน และสถาบันการเงิน รวมทั้งดารานักแสดงที่ได้รับความเสียหายจากการถูกหลอกลวงเรี่ยไรบริจาคเงินสมทบทุนสร้างภาพยนตร์วีซีดี “พระไตรปิฎก” เข้าให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ สำนักคดีอาญาพิเศษ ดีเอสไอ ด้วย ซึ่งผู้เสียหายสามารถเข้าให้ข้อมูลได้ที่อาคารดีเอสไอ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 14 ก.ค.เป็นต้นไป และเพื่อความสะดวกขอให้ผู้เสียหายที่จะเข้าให้ข้อมูลโทรศัพท์นัดหมายวันเข้าให้ข้อมูลได้ที่หมายเลข 0-2975-9863 และ 0-2975-9864

สำหรับคดีนี้ พระมหาปัญญา ปัญญาวุฑโฒ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย พร้อมด้วยนายสงกรานต์ อัฉริยทรัพย์ ทนายความรับมอบอำนาจจาก อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหามกุฏวิทยาลัย เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษเมื่อวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยนายสงกรานต์ระบุว่า มีผู้เสียหายจำนวนมากมียอดเงินบริจาคที่เปิดบัญชีธนาคารต่างๆ ถึง 8 บัญชี มีเงินไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท โดยระบุว่าจะได้รับแผ่นวีซีดีและดีวีดีพระไตรปิฎกเพื่อไปเผยแพร่ นอกจากนี้ยังได้รับข้อมูลว่ามีเจ้าหน้าที่สำนักพุทธศาสนาบางคนได้ปลอมเอกสารเพื่อขออนุมัติงบประมาณจากรัฐบาลสมัย นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี จำนวน 99 ล้านบาท ต่อมารัฐบาลเห็นชอบให้อนุมัติในหลักการโดยสั่งจ่ายเงินจำนวน 99 ล้านบาทให้กับสำนักพุทธศาสนา แต่มหาวิทยาลัยไปตรวจสอบ พบว่าชื่อบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทเอกชนที่เคยมาติดต่อขอจัดทำ และมีพฤติกรรมเข้าข่ายหลอกลวงประชาชนจึงทำเรื่องให้ระงับเงินดังกล่าวไม่ให้มีการเบิกจ่าย