ศาลอาญาสั่งจำคุก 7 ปี 2 ตำรวจ ศูนย์สวัสดิภาพเด็ก เยาวชน และสตรี (ศดส.) เรียกรับสินบนผู้ต้องหาค้าซีดีลามกอนาจาร 20,000 บาท แลกกับการไม่ถูกดำเนินคดี
วันนี้ (3 มิ.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 802 ศาลอาญา ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.1791/2551 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ฟ้อง จ.ส.ต.นิยม พรหมณี และ ส.ต.ต.ชยุตม์พงศ์ อินทรศรี อดีตตำรวจ ศูนย์สวัสดิภาพเด็ก เยาวชน และสตรี (ศดส.) เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน, เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และร่วมกันกระทำหรือไม่กระทำการในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบ
โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 14 พ.ค.51 บรรยายความผิดว่า ระหว่างวันที่ 29-30 ต.ค.45 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองร่วมกันจับกุมตัวนายสมเกตุ หรือฮี้ วรเจิดเจริญ ในข้อหา เพื่อประสงค์แห่งการค้าหรือโดยการค้า แสดงออกหรือทำให้เผยแพร่ด้วยประการใดๆ ซึ่งแผ่นซีดีลามก พร้อมของกลางแผ่นซีดีลามกอนาจาร จำนวน 800 แผ่น แต่จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่นำตัว นายสมเกตุ ผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนท้องที่เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย กลับเรียกรับเงินสดจำนวน 20,000 บาท จาก น.ส.ยันซ้วน แซ่เฉิน ญาติของผู้ต้องหา เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการไม่ดำเนินคดีดังกล่าว การกระทำของจำเลยเป็นการร่วมกันงดเว้นไม่กระทำการในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบด้วยหน้าที่โดยทุจริตเพื่อช่วยผู้ต้องหาไม่ต้องรับโทษ และเป็นการร่วมกันละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ น.ส.ยันซ้วน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และประชาชน เหตุเกิดที่แขวงวัดโสมนัส เขตป้อมปราบปรามศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149,157,200,83
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้บังคับบัญชาของจำเลยทั้ง 2 ที่ทำหน้าที่จับกุมจำเลยทั้ง 2 เบิกความเป็นพยานว่า ในวันที่ 30 ต.ค.45 ได้รับการติดต่อจาก น.ส.ยันซ้วน ว่านายสมเกตุถูกจำเลยทั้งสองจับกุม และเรียกรับเงินจำนวน 20,000 บาท เพื่อแลกกับการไม่ถูกดำเนินคดี จึงทำการซ้อนแผนจับกุมจำเลยทั้งสอง ด้วยการนำเงินสดจำนวน 20,000 บาท ของ น.ส.ซันง้วน มาถ่ายสำเนาเป็นหลักฐาน ก่อนที่น.ส.ซันง้วน จะนำเงินไปมอบให้แก่จำเลยทั้งสอง ที่ศูนย์สวัสดิภาพเด็ก เยาวชน และสตรี โดยเจ้าหน้าที่ได้บันทึกภาพวิดีโอไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจค้นตัวจำเลยทั้งสอง พบเงินสดจำนวน 20,000 บาท ตรงกับที่ถ่ายสำเนาไว้ จึงจับกุมและดำเนินคดี เห็นว่าพยานโจทก์ต่างเบิกความสอดคล้องกัน พยานไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสองมาก่อน เชื่อว่าพยานโจทก์เบิกความไปตามจริง แม้จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง แต่การเบิกความเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์
พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ อันเป็นบทหนักสุด ลงโทษจำคุกคนละ 7 ปี โดยไม่รอการลงโทษ