ศาลอาญาพิพากาษาจำคุก ผจก.ฝ่ายกฎหมาย บ.ธนศาลสมบัติพัฒนา 16 ปี จ้างวานเผาร้านปลาสวยงาม ตลาดซันเดย์สวนจตุจักร ส่วนมือวางเพลิงรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือจำคุก 5 ปี
วันนี้ (2 มิ.ย.) เมื่อเวลา 10.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 808 ศาลอาญา ศาลอ่านคำพิพากษาในคดี หมายเลขดำที่ อ.3697/2550 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ฟ้อง นางอภิญญา วงษ์บัญญัติ อายุ 52 ปี ผู้จัดการฝ่ายกฎหมายบริษัทธนสารสมบัติพัฒนา จำกัด และนายณรินทร์ โพธิ์ยา อายุ 29 ปี เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐาน จ้างวานใช้ผู้อื่นกระทำผิดฐานวางเพลิงเผาโรงเรือน, พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนฯ และร่วมกันวางเพลิงเผาโรงเรือน
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 ก.ค.50 เวลา 04.00 น. จำเลยที่ 1 ได้จ้างวานให้ จำเลยที่ 2 กับพวก ร่วมกันวางเพลิงเผาโรงเรือนอันเป็นที่เก็บสินค้าภายใน บริเวณจุดขายปลาสวยงาม ตลาดนัดสวนจตุจักร จนได้รับความเสียหายไปจำนวน 4 ห้อง โดยจำเลยที่ 2 กับพวก นำถังน้ำมันไปวางไว้ในบริเวณช่องทางเดินระหว่างร้านค้าของผู้เสียหาย แล้วทำการเทน้ำมันตรงบริเวณถังน้ำมันแล้วจุดไฟให้ลามไปยังร้านค้า เป็นเหตุให้อาคารรวมสิ่งปลูกสร้างและสินค้าประเภทอุปกรณ์เลี้ยงปลาถูกไฟไหม้เสียหาย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,300,000 บาท ต่อมาเจ้าหน้าที่ตรวจค้นห้องพักของจำเลยที่ 1 พบ อาวุธปืนทั้งที่มีทะเบียนและไม่มีทะเบียนจำนวน 5 กระบอก และเครื่องกระสุนปืนจำนวนมาก เหตุเกิดที่ แขวงและเขตจตุจักร กรุงเทพฯ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 84, 91, 217, 218 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 4, 7 ,55,72,78
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์พยานที่เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เบิกความว่า จำเลยที่ 1 เคยจ้างวานให้ พยานไปวางเพลิงร้านขายประหลาดังกล่าว แต่พยานปฏิเสธ ต่อมาเห็นจำเลยที่ 1 เดินชี้จุดที่เกิดเพลิงไหม้ให้แก่จำเลยที่ 2 ดู เข้าใจว่าเป็นการบอกจุดที่ต้องการให้เผา โจทก์ยังมีพนักงานสอบสวนเบิกความว่า หลังเกิดเหตุพบโทรศัพท์มือถือของจำเลยที่ 2 ตกอยู่ เมื่อตรวจสอบพบหลักฐานการติดต่อระหว่างจำเลยทั้งสองหลายครั้ง ประกอบกับจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพว่า จำเลยที่ 1 ได้จ้างวานจำนวน 1 หมื่นบาท เพื่อให้วางเพลิง เห็นว่าโจทก์มีพยานให้การสอดคล้องกัน ประกอบกับจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพและซัดทอดจำเลยที่ 1 เชื่อว่าจำเลยที่ 2 กระทำผิดตามฟ้อง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานจ้างวานให้วางเพลิงหรือไม่ โจทก์มี เห็นว่าจากการเบิกความของพยานโจทก์ประกอบกับคำรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ที่ซัดทอดจำเลยที่ 1 แล้ว ไม่มีพิรุธสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำให้จำเลยที่ 1 ได้รับโทษ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้จ้างวาน ให้จำเลยที่ 2 กับพวกไปวางเพลิง เนื่องจากบริษัทของจำเลยที่ 1 มีปัญหากับผู้ค้าที่ไม่ยอมย้ายออกไป ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการฝ่ายกฎหมายมีหน้าที่โดยตรง ซึ่งหากสามารถไล่ที่ผู้ค้าออกไปได้ เชื่อว่าจำเลยที่ 1 น่าจะได้รับผลตอบแทน คำเบิกความของจำเลยที่ 1 ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดเสมือนตัวการฐานวางเพลิง นอกจากนี้ยังเชื่อว่าอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางเป็นของจำเลยที่ 1 อีกด้วย
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218 ฐานร่วมกันวางเพลิงเผาโรงเรือน ลงโทษจำคุก 10 ปี ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี และฐานมีปืนและเครื่องกระสุนปืนที่ไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนจำคุกเป็นเวลา 4 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 16 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานร่วมกันวางเพลิงเผาโรงเรือน ลงโทษจำคุก 10 ปี คำรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาเห็นสมควรลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้เป็นเวลา 5 ปี และให้ริบของกลางอาวุธปืน