ดีเอสไอนำตัว 3 ทหาร ผู้ต้องหาฆ่าตัดตอนคดียาเสพติด ส่งอัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 33 จ.เชียงใหม่ พิจารณาสั่งฟ้อง หลังสืบพบปมสังหารมีพิรุธน่าจะมาจากความบาดหมางกับญาติของทหารในพื้นที่
วันนี้ (27 พ.ค.) พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผอ.สำนักคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า ในบ่ายวันนี้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอพร้อมคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ ประกอบด้วย นายอมรเทพ อรุโณประโยชน์ นายนพพล ประกายรุ้งทอง และเรืออากาศเอก ชัยธัช มารังค์ จะนำผู้ต้องหาซึ่งเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร 2 นาย และนายทหารชั้นประทวน 1 นาย พร้อมสำนวนความเห็นสั่งฟ้องในความผิดฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกังขังต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จากกรณีการเสียชีวิตของนายสุรศักดิ์ ไฝเอ้ย ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ทหารกองกำลังผาเมืองยิงเสียชีวิตที่บริเวณบ้านขุนน้ำนางนอน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 11 มี.ค.2548 โดยอ้างว่าเป็นการวิสามัญฆาตกรรม เนื่องจากนายสุรศักดิ์ค้ายาบ้าและใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ทหารจนถูกเจ้าหน้าที่ทหารยิงเสียชีวิต ไปส่งให้อัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป เนื่องจากคดีนี้ผู้ต้องหาเป็นเจ้าหน้าที่ทหารการดำเนินคดีจึงอยู่ในอำนาจศาลทหาร
พ.อ.ปิยะวัฒก์ กล่าวอีกว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้ส่งสำนวนการไต่สวนชันสูตรพลิกศพไปยังพนักงานอัยการจังหวัดเชียงราย เพื่อขอให้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเชียงรายไต่สวนชันสูตรพลิกศพนายสุรศักดิ์ ซึ่งศาลจังหวัดเชียงรายได้มีคำสั่ง ลงวันที่ 10 เม.ย.2551 ว่า การตายของนายสุรศักดิ์เป็นการตายโดยถูกเจ้าหน้าที่ทหารทำให้ตายด้วยกระสุนปืน เอ็ม 16 เอ 2 แต่การตายของนายสุรศักดิ์จะเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ เห็นว่ายังเป็นข้อสงสัย เนื่องจากพยานหลักฐานและการนำสืบการวิสามัญฆาตกรรม ยังมีความเคลือบแคลงสงสัยและขัดแย้งกันอยู่ นายสุชาติ ไฝเอ้ย จึงได้ร้องขอความเป็นธรรมให้ดีเอสไอรับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ ต่อมาดีเอสไอจึงได้รับคดีดังกล่าวไว้เป็นคดีพิเศษที่ เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.2551
จากการสืบสวนสอบสวนพบว่า มีเจ้าหน้าที่ทหารไปรับนายสุรศักดิ์จากบ้านแล้วนำไปยังที่เกิดเหตุ จากนั้นเจ้าหน้าที่ทหารได้ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 เอ 2 ยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย และมีการสร้างพยานหลักฐานอำพรางว่าเป็นการวิสามัญฆาตกรรม โดยมีการนำรถจักรยานยนต์ อาวุธปืนลูกซอง และยาเสพติด ซึ่งไม่ใช่ของผู้ตายมาจัดฉากว่าเป็นการวิสามัญฆาตกรรมผู้ค้ายาเสพติด
จากการตรวจรายงานการชันสูตรพลิกศพของแพทย์พบว่ามีร่องรอยมัดมือมัดเท้า และรอยรัดคอผู้ตายไว้ในลักษณะพันธนาการด้วย นอกจากนั้นยังพบข้อพิรุธน่าสงสัยอีกหลายประการที่ทำให้เชื่อว่าไม่ใช่การวิสามัญฆาตกรรม แต่เป็นการวางแผนฆ่านายสุรศักดิ์ไว้ล่วงหน้า สำหรับมูลเหตุจูงใจสำคัญของการฆ่าเชื่อว่ามาจากปัญหาความบาดหมางกันระหว่างผู้ตายกับญาติของเจ้าหน้าที่ทหารผู้หนึ่งมาก่อน