จำคุก 3 ปี หนุ่มใหญ่สร้างสถานการณ์จับลูกสาววัย 3 ขวบ เรียกค่าไถ่ กรรโชกทรัพย์อดีตภรรยา 1 แสน สารภาพศาลปรานีลดเหลือคุก 2 ปี
วันนี้ (20 พ.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 804 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.3408/2551 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ฟ้อง นายไส สีถิ่นวัน อายุ 53 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไป กรรโชกทรัพย์ และแจ้งความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 313, 337
คดีนี้โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า ระหว่างวันที่ 27 มิ.ย. - 5 ก.ค. 51 ต่อเนื่องกันจำเลยได้เอาตัว ด.ญ.จุฬาภรณ์ สีถิ่นวัน อายุ 3 ปี ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยกับนางจงรักษ์ บำเพ็ญ ผู้เสียหาย ไปเสียจากความปกครองของนางจงรักษ์ โดยจำเลยได้โทรศัพท์เรียกค่าไถ่จากนางจงรักษ์จำนวน 100,000 บาท หากไม่ให้จะทำอันตรายถึงชีวิต นอกจากนี้ จำเลยยังได้แจ้งความเท็จต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ด.ญ.น้อย ถูกนางติ๋มไม่ทราบนามสกุลจับไปเรียกค่าไถ่ ซึ่งความจริงแล้ว จำเลยเป็นคนนำตัว ด.ญ.น้อยไปเพื่อเรียกค่าไถ่เอง เหตุเกิดที่แขวงจอมพล เขตจตุจักร กทม.
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในความผิดฐานแจ้งความเท็จ อันมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลจึงสามารถลงโทษได้โดยไม่ต้องสืบพยาน มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดฐานกรรโชกทรัพย์หรือไม่ โจทก์มีนางจงรักษ์ ผู้เสียหาย เบิกความว่าหลังหย่าร้างกับจำเลยได้รับ ด.ญ.น้อย บุตรสาวมาเลี้ยงดูด้วยตัวเอง จนเมื่อจำเลยไปเยี่ยมลูกที่จังหวัดอุบลราชธานี ก่อนจะขอนำ ด.ญ.น้อย ไปก่อนจะได้รับโทรศัพท์จากจำเลยในเวลาต่อมาว่า ถูกนางติ๋มเอา ด.ญ.น้อย ไปเรียกค่าไถ่จำนวน 100,000 บาท ด้วยความเป็นห่วงลูกจึงพยายามรวบรวมเงินได้มา 5,000 บาท แต่ยังไม่ทันได้จ่ายค่าไถ่ ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมจำเลยเสียก่อน เมื่อพบพิรุธจากการที่ตนและจำเลยไปแจ้งความร่วมกันที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดต่อเด็ก เยาวชนและสตรี (ปดส.) เจ้าหน้าที่สืบสวนพบว่า ด.ญ.น้อย ได้อยู่กับจำเลย โดยจำเลยเป็นคนเรียกค่าไถ่เองโดยสร้างสถานการณ์ขึ้นมา
จำเลยเบิกความว่า ในการหย่ามีข้อตกลงด้วยวาจาว่า หากใครเป็นผู้เลี้ยงบุตรสาวจะต้องรับภาระชำระหนี้สินที่มีอยู่ในระหว่างใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน แต่นางจงรักษ์เมื่อได้ลูกไปเลี้ยงกับไม่ชำระหนี้ เมื่อนางจงรักษ์ไม่ทำตามข้อตกลงจึงอยากนำลูกสาวมาเลี้ยงเอง ศาลเห็นว่าโจทก์มีนางจงรักษ์ และพนักงานสอบสวน เบิกความเป็นลำดับขั้นตอนตั้งแต่ต้น ยากที่จะปั้นแต่งเรื่องขึ้นมาให้จำเลยได้รับโทษ ประกอบกับจำเลยให้การรับสารภาพในความผิดฐานแจ้งความเท็จ จึงเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องโจทก์
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานแจ้งความเท็จและกรรโชกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173, 337 (1) วรรค 2 ให้ลงโทษจำคุกเป็นเวลา 3 ปี คำให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา เห็นควรลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยไว้เป็นเวลา 2 ปี และริบโทรศัพท์มือถือ