ญาติเหยื่อฆ่าตัดตอนวอน ป.ป.ส.คืนเงินยึดทรัพย์คดียาเสพติดกว่า 20 ล้านบาท หลังดีเอสไอมีหลักฐานถูกยัดข้อหา ด้าน ป.ป.ส.แนะให้ร้องตำรวจรื้อสำนวนเปลี่ยนข้อหา
วันนี้ (15 พ.ค.) นายนคร ชมพูชาติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยภายหลังเรียกประชุมคณะคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพและการดูแลผู้เสียหายในคดีอาญา ถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งสำนวนกรณีเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องการเสียชีวิตของ นายพงษ์เทพ และ นางอำไพพรรณ รู้คงประเสริฐ สามีภรรยา เจ้าของกิจการรับขนส่งสินค้า บริษัท ธนพงษ์ ขนส่ง จำกัด อ.แม่สอด จ.ตาก และ ป.ป.ส.ยึดทรัพย์ผู้เสียชีวิตกว่า 20 ล้านบาท ว่า ทรัพย์สินของ นายพงษ์เทพ และภรรยา ได้ถูกสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ยึดอายัดและขายทอดตลาดไปแล้วรวมกว่า 20 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นรถบรรทุก ทั้งที่ญาติได้ทำบัญชีพร้อมหลักฐานชี้แจงที่มาของทรัพย์สินโดยให้เหตุผลว่าข้อมูลที่ญาตินำมาชี้แจงยังไม่สามารถยืนยันความบริสุทธิ์ได้
ขณะที่ญาติของ นายพงษ์เทพ และภรรยา เปิดเผยว่า ได้นำหลักฐานเป็นสัญญากู้ยืมเงินจากธนาคารกรุงไทยสาขาแม่สอดจำนวน 28 ล้านบาท สัญญาเช่าซื้อรถบรรทุกกับบริษัท สหกิจหนองแค หนังสือรับรองของบริษัทคู่ค้าของบริษัท ธนพงษ์ ขนส่ง จำกัด และหนังสือกู้ยืมเงิน โดยก่อนที่ ป.ป.ส.จะขายทอดตลาดรถบรรทุกได้แนะนำว่าหากเก็บไว้รถจะเสื่อมสภาพและหากขายทอดตลาดไปแล้วแต่ไม่มีความผิด ป.ป.ส.จะคืนเงินให้พร้อมดอกเบี้ย พร้อมให้ญาติตั้งราคากลาง แต่เมื่อถึงวันขายทอดตลาดกลับตั้งราคากลางต่ำกว่าที่ญาติกำหนด ทั้งนี้ ป.ป.ส.คืนทรัพย์สินมาบางส่วนเป็นเงินมูลค่า 9.8 ล้านบาท ที่ดินเปล่าติดจำนองธนาคาร เทาว์เฮ้าส์ เงินในกระเป๋าเสื้อผู้ตาย จำนวน 5,000 บาท จึงของเร่งรัดให้มีการคืนทรัพย์สินดังกล่าว
ด้าน นายชาติชาย สุทธิกลม ที่ปรึกษาการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ป.ป.ส.กล่าวว่า ป.ป.ส.ยึดทรัพย์ของนายพงษ์เทพ และ นางอำไพพรรณ ตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อหาว่า เกี่ยวพันกับยาเสพติด ซึ่งเป็นความผิดที่เข้าสู่มาตรการริบของกฎหมาย ป.ป.ส.ที่ผ่านมา ญาติผู้ตายได้ชี้แจงกับคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน และได้คืนทรัพย์สินไปแล้วบางส่วน ส่วนเงินกว่า 20 ล้านที่ถูกอายัดเข้ากองทุน ป.ป.ส.เนื่องจากไม่มีหลักฐานมาชี้แจงต่อคณะกรรมการได้ และเกินกำหนดเวลา 2 ปี ที่ต้องหาหลักฐานมาชี้แจง เงินจำนวน 20 ล้านบาท จึงต้องเข้าสู่กองทุน ป.ป.ส.อย่างไรก็ตาม หากคดีความเกิดความเปลี่ยนแปลงว่าบุคคลทั้ง 2 คน ไม่เกี่ยวข้อง ญาติสามารถไปร้องต่อศาลให้รื้อคดีได้ และแจ้งต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ใช้ข้อมูลหลักฐานของดีเอสไอเพื่อเปลี่ยนข้อกล่าวหาว่าบุคคลทั้ง 2 ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เพื่อทำสำนวนส่งฟ้องต่ออัยการอีกครั้ง ซึ่งจะไม่สามารถคืนเงินได้ในทันที