คดีการลอบสังหาร “สนธิ ลิ้มทองกุล” ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการ และแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตั้งแต่เช้าตรู่วันที่ 17 เม.ย. จวบปัจจุบันย่างเข้าสู่ 1 สัปดาห์เต็มแล้ว ทั้งนี้ เมื่อเหตุเกิดขึ้นวันแรกที่คนร้ายใช้อาวุธสงครามรุมถล่มพาหนะของนายสนธิ ท่ามกลางการประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน ถือเป็นการกระทำที่อุกอาจฉกาจฉกรรจ์!
ในเบื้องต้นนั้น ผู้คนทุกวงการคาดเดามูลสาเหตุกันไปต่างๆ นานา วิพากษ์วิจารณ์แม้กระทั่ง นายสนธิคล้องพระอะไรจึงรอดชีวิตมาได้ราวปาฏิหาริย์ นอกเหนือจากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวแล้ว สิ่งที่ผู้คนไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ข้ามผ่านไปได้นั่นคือ เป็นฝีมือใคร? การลงมือถล่มด้วยอาวุธสงครามร้ายแรงในระหว่างการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจาก “คนมีสี” เท่านั้น ปัญหาจึงมีข้อให้วินิจฉัยต่อไปให้ปวดหัวว่า “สีอะไร”
หลังเกิดเหตุ ผู้ที่รับผิดชอบเข้ามาควบคุมดูแลคดี คือ “พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์” รอง ผบ.ตร. ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบพื้นที่นครบาลอยู่แล้ว และเมื่อ พล.ต.อ.จงรัก ถูกสอบถามถึงอาวุธสงครามที่ถูกนำมาปฏิบัติการอุกอาจใจกลางเมืองหลวง ก็ได้รับคำตอบในทำนองว่าอาวุธสงครามนั้น ประชาชนทั่วไปก็สามารถ หามามีได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นทหาร ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่บ่อย!
ใช่ว่าแต่ พล.ต.อ.จงรัก เท่านั้น แม้ “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” ผบ.ทบ.ยังกล่าวถึงเหตุการณ์ลอบสังหารนายสนธิไว้ว่า “เรื่องการลอบยิงเป็นเรื่องอาชญากรรม ซึ่งจะมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่มี ก็สามารถเป็นเช่นนั้นได้...เหตุการณ์นี้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องสืบสวน จับกุมมาให้ได้ ไม่ว่าสีไหนก็ตาม จะต้องนำตัวมาลงโทษให้ได้ ในฐานะที่เป็นหน้าที่รักษากฎหมาย...ส่วนที่มีการใช้อาวุธสงครามนั้น ต้องยอมรับว่ามีการใช้อยู่ในประเทศไทยหลายครั้งหลายหน และหลายกรณีที่มีการยิง และเมื่อหลายวันก่อนก็มีการยิงเอ็ม 79 เข้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเราพยายามกำหนดมาตรการเพื่อควบคุม ซึ่งดีขึ้นกว่าแต่ก่อนแต่ยังไม่หมดไป จึงต้องหาทางขจัดปัญหานี้ไปให้ได้”
มาวันนี้ (23 เม.ย.) ภายหลังจากที่มีรายงานข่าวระบุว่า ชุดคลี่คลายคดีลอบสังหารนายสนธิได้ตรวจสอบพบปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 ขนาด 5.56 มม.จำนวน 3 ปลอก ซึ่ง 2 ใน 3 เป็นกระสุนที่ผลิตโดยกรมสรรพาวุธทหารบก มีการตีตราสัญลักษณ์ (RTA) ซึ่งมาจากว่า ROYAL THAI ARMY และเป็นซีรีส์ที่ส่งให้เฉพาะหน่วยทหารหน่วยหนึ่งในสังกัดกองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1) นั้น พล.อ.อนุพงษ์ ออกมายอมรับว่า “ปลอกกระสุนเอ็ม 16 จำนวน 3 นัดที่ใช้ยิงนายสนธิ จากการตรวจสอบร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจยอมรับว่า เป็นกระสุนที่มาจากกองพลทหารราบที่ 9 ซึ่งอยู่ในสายงานการบังคับบัญชาของกองทัพภาคที่ 1 แต่เป็นกระสุนที่ใช้ในการฝึกยิงและได้มีการรั่วไหลออกมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบากในการตรวจสอบว่าเป็นกระสุนมาจากหน่วยใด และหากมีการตรวจสอบพบว่าเป็นกระสุนจากที่ใด ก็จะต้องมีการดำเนินการสอบสวนผู้รับผิดชอบจากกฎระเบียบของกองทัพต่อไป”
เมื่อได้ฟังคำตอบของ พล.อ.อนุพงษ์ ในฐานะผู้นำเหล่าทัพที่ว่ากันว่ามีอำนาจสูงสุดกว่าเหล่าทัพอื่นแล้ว สามารถอนุมานและหาคำตอบในการออกมายอมรับของ พล.อ.อนุพงษ์ ได้ว่า เพราะเหตุใด จึงมีการเปลี่ยนตัว พล.ต.อ.จงรัก เป็น พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. ซึ่งเพิ่งตั้งมาได้เพียงแค่วันเดียว และไม่รู้ว่าหาก พล.ต.อ.จงรัก ยังควบคุมคดีอยู่ กระสุนปืนเอ็ม 16 ที่มีการตีตรา RTA นั้นจะได้รับการเปิดเผยออกมาสู่สาธารณชนหรือไม่
ในขณะเดียวกัน คำตอบของ พล.อ.อนุพงษ์ ที่เพิ่งออกมายอมรับว่ากระสุนที่ใช้สังหารนายสนธิเป็นกระสุนจากกองพลทหาารราบที่ 9 สังกัดกองทัพภาคที่ 1 นั่นย่อมอนุมานด้วยวิธีอุปนัยที่น่าจะเป็นเช่นนั้นได้ว่า พล.อ.อนุพงษ์ น่าจะรู้หรือไม่รู้ตั้งแต่หลังเกิดเหตุแล้วว่า...ใครเป็นผู้ลงมือ แต่ก็ทำเป็นนิ่งเสีย ด้วยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จนกระทั่งหลักฐานชัดเจนว่าเป็นกระสุนจากกองทัพภาคที่ 1 จึงออกมาระบุว่าเป็นของกองพลทหารราบที่ 9
ภาพและเสียงของ พล.อ.อนุพงษ์ ยังก้องและปรากฏอยู่เสมอ เมื่อครั้งที่ “นายสมัคร สุนทรเวช” ขณะเป็นนายกรัฐมนตรี ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และมอบหน้าที่ให้ พล.อ.อนุพงษ์ เป็นผู้มีอำนาจดำเนินการกับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่เข้าปิดล้อมทำเนียบฯไว้ในครั้งนั้น ความเป็นสุภาพบุรุษทหาร ความเป็นผู้นำกองทัพ ที่เรียกศรัทธาได้จากพี่น้องประชาชนจำนวนมากยังคงอยู่ในความประทับใจ บัดนี้ เมื่อ พล.อ.อนุพงษ์ ทราบอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่ากระสุนมาจากหน่วยงานไหน ใยต้องปล่อยให้เรื่องล่วงเลยไปตั้งช้านาน และด้วยตำแหน่ง ผบ.ทบ.น่าจะลากคอคนร้ายที่ก่อเหตุลูบคม ทำให้กองทัพเสื่อมเสียมาได้ไม่ยาก เพียงแต่อย่างเล่นบท “เตมีย์ใบ้” เหมือนหลายครั้งหลายหนที่ผ่านมาก็แล้วกัน
มีคำกล่าวไว้ว่า “ไม่มีอาชญากรคนใดที่ก่ออาชญากรรมแล้วจะไม่ทิ้งร่องรอยหรือพยานหลักฐานนั้นไว้” เรื่องนี้ นักอาชญาวิทยาดีกรีระดับดอกเตอร์ที่จบด้านนี้มาโดยตรง อย่าง “พ.ต.ท.ดร.นช.ทักษิณ ชินวัตร” ย่อมรู้ดีกว่าใคร!!
ในเบื้องต้นนั้น ผู้คนทุกวงการคาดเดามูลสาเหตุกันไปต่างๆ นานา วิพากษ์วิจารณ์แม้กระทั่ง นายสนธิคล้องพระอะไรจึงรอดชีวิตมาได้ราวปาฏิหาริย์ นอกเหนือจากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวแล้ว สิ่งที่ผู้คนไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ข้ามผ่านไปได้นั่นคือ เป็นฝีมือใคร? การลงมือถล่มด้วยอาวุธสงครามร้ายแรงในระหว่างการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจาก “คนมีสี” เท่านั้น ปัญหาจึงมีข้อให้วินิจฉัยต่อไปให้ปวดหัวว่า “สีอะไร”
หลังเกิดเหตุ ผู้ที่รับผิดชอบเข้ามาควบคุมดูแลคดี คือ “พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์” รอง ผบ.ตร. ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบพื้นที่นครบาลอยู่แล้ว และเมื่อ พล.ต.อ.จงรัก ถูกสอบถามถึงอาวุธสงครามที่ถูกนำมาปฏิบัติการอุกอาจใจกลางเมืองหลวง ก็ได้รับคำตอบในทำนองว่าอาวุธสงครามนั้น ประชาชนทั่วไปก็สามารถ หามามีได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นทหาร ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่บ่อย!
ใช่ว่าแต่ พล.ต.อ.จงรัก เท่านั้น แม้ “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” ผบ.ทบ.ยังกล่าวถึงเหตุการณ์ลอบสังหารนายสนธิไว้ว่า “เรื่องการลอบยิงเป็นเรื่องอาชญากรรม ซึ่งจะมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่มี ก็สามารถเป็นเช่นนั้นได้...เหตุการณ์นี้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องสืบสวน จับกุมมาให้ได้ ไม่ว่าสีไหนก็ตาม จะต้องนำตัวมาลงโทษให้ได้ ในฐานะที่เป็นหน้าที่รักษากฎหมาย...ส่วนที่มีการใช้อาวุธสงครามนั้น ต้องยอมรับว่ามีการใช้อยู่ในประเทศไทยหลายครั้งหลายหน และหลายกรณีที่มีการยิง และเมื่อหลายวันก่อนก็มีการยิงเอ็ม 79 เข้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเราพยายามกำหนดมาตรการเพื่อควบคุม ซึ่งดีขึ้นกว่าแต่ก่อนแต่ยังไม่หมดไป จึงต้องหาทางขจัดปัญหานี้ไปให้ได้”
มาวันนี้ (23 เม.ย.) ภายหลังจากที่มีรายงานข่าวระบุว่า ชุดคลี่คลายคดีลอบสังหารนายสนธิได้ตรวจสอบพบปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 ขนาด 5.56 มม.จำนวน 3 ปลอก ซึ่ง 2 ใน 3 เป็นกระสุนที่ผลิตโดยกรมสรรพาวุธทหารบก มีการตีตราสัญลักษณ์ (RTA) ซึ่งมาจากว่า ROYAL THAI ARMY และเป็นซีรีส์ที่ส่งให้เฉพาะหน่วยทหารหน่วยหนึ่งในสังกัดกองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1) นั้น พล.อ.อนุพงษ์ ออกมายอมรับว่า “ปลอกกระสุนเอ็ม 16 จำนวน 3 นัดที่ใช้ยิงนายสนธิ จากการตรวจสอบร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจยอมรับว่า เป็นกระสุนที่มาจากกองพลทหารราบที่ 9 ซึ่งอยู่ในสายงานการบังคับบัญชาของกองทัพภาคที่ 1 แต่เป็นกระสุนที่ใช้ในการฝึกยิงและได้มีการรั่วไหลออกมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบากในการตรวจสอบว่าเป็นกระสุนมาจากหน่วยใด และหากมีการตรวจสอบพบว่าเป็นกระสุนจากที่ใด ก็จะต้องมีการดำเนินการสอบสวนผู้รับผิดชอบจากกฎระเบียบของกองทัพต่อไป”
เมื่อได้ฟังคำตอบของ พล.อ.อนุพงษ์ ในฐานะผู้นำเหล่าทัพที่ว่ากันว่ามีอำนาจสูงสุดกว่าเหล่าทัพอื่นแล้ว สามารถอนุมานและหาคำตอบในการออกมายอมรับของ พล.อ.อนุพงษ์ ได้ว่า เพราะเหตุใด จึงมีการเปลี่ยนตัว พล.ต.อ.จงรัก เป็น พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. ซึ่งเพิ่งตั้งมาได้เพียงแค่วันเดียว และไม่รู้ว่าหาก พล.ต.อ.จงรัก ยังควบคุมคดีอยู่ กระสุนปืนเอ็ม 16 ที่มีการตีตรา RTA นั้นจะได้รับการเปิดเผยออกมาสู่สาธารณชนหรือไม่
ในขณะเดียวกัน คำตอบของ พล.อ.อนุพงษ์ ที่เพิ่งออกมายอมรับว่ากระสุนที่ใช้สังหารนายสนธิเป็นกระสุนจากกองพลทหาารราบที่ 9 สังกัดกองทัพภาคที่ 1 นั่นย่อมอนุมานด้วยวิธีอุปนัยที่น่าจะเป็นเช่นนั้นได้ว่า พล.อ.อนุพงษ์ น่าจะรู้หรือไม่รู้ตั้งแต่หลังเกิดเหตุแล้วว่า...ใครเป็นผู้ลงมือ แต่ก็ทำเป็นนิ่งเสีย ด้วยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จนกระทั่งหลักฐานชัดเจนว่าเป็นกระสุนจากกองทัพภาคที่ 1 จึงออกมาระบุว่าเป็นของกองพลทหารราบที่ 9
ภาพและเสียงของ พล.อ.อนุพงษ์ ยังก้องและปรากฏอยู่เสมอ เมื่อครั้งที่ “นายสมัคร สุนทรเวช” ขณะเป็นนายกรัฐมนตรี ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และมอบหน้าที่ให้ พล.อ.อนุพงษ์ เป็นผู้มีอำนาจดำเนินการกับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่เข้าปิดล้อมทำเนียบฯไว้ในครั้งนั้น ความเป็นสุภาพบุรุษทหาร ความเป็นผู้นำกองทัพ ที่เรียกศรัทธาได้จากพี่น้องประชาชนจำนวนมากยังคงอยู่ในความประทับใจ บัดนี้ เมื่อ พล.อ.อนุพงษ์ ทราบอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่ากระสุนมาจากหน่วยงานไหน ใยต้องปล่อยให้เรื่องล่วงเลยไปตั้งช้านาน และด้วยตำแหน่ง ผบ.ทบ.น่าจะลากคอคนร้ายที่ก่อเหตุลูบคม ทำให้กองทัพเสื่อมเสียมาได้ไม่ยาก เพียงแต่อย่างเล่นบท “เตมีย์ใบ้” เหมือนหลายครั้งหลายหนที่ผ่านมาก็แล้วกัน
มีคำกล่าวไว้ว่า “ไม่มีอาชญากรคนใดที่ก่ออาชญากรรมแล้วจะไม่ทิ้งร่องรอยหรือพยานหลักฐานนั้นไว้” เรื่องนี้ นักอาชญาวิทยาดีกรีระดับดอกเตอร์ที่จบด้านนี้มาโดยตรง อย่าง “พ.ต.ท.ดร.นช.ทักษิณ ชินวัตร” ย่อมรู้ดีกว่าใคร!!