“อำนวย” วิงวอนม็อบแดงถ่อย ขอให้รื้อถอนสิ่งก่อสร้างที่ถนนลูกหลวง ประตู 6 ถึงประตู 8 ทั้งหมด เพื่อเปิดเส้นทางการจราจร ให้เข้าทำงานได้ หลังศาลมีคำสั่งคุ้มครองและออกหมายบังคับคดีแล้ว พร้อมชี้ การที่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่อุทธรณ์คำสั่งศาลถือว่ารับทราบแล้ว และต้องถือปฏิบัติตาม
วันนี้ (3 เม.ย.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เมื่อเวลา 11.00 น. พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) เปิดเผยภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมนายตำรวจระดับรอง ผบช.น. ผบก.น.1-9 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประเมินสถานการณ์การชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ว่า สืบเนื่องจากการที่ศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง ปฏิบัติ 3 ข้อ คือ 1.ต้องเปิดทางให้คณะรัฐมนตรี รวมถึงข้าราชการ สามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาลได้โดยสะดวก ส่วนที่ 2.คือ การใช้ระบบเสียงหรือเครื่องขยายเสียงในทิศทาง ที่ไม่รบกวนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาล และ 3.คือ คำสั่งศาลให้มีผลทันที โดยก่อนหน้านี้ มีการนำหมายศาลไปปิดไว้ที่ ประตู 6 และประตู 8 ตามคำสั่งศาล เมื่อวานนี้ โจทก์ไปยื่นคำร้องต่อศาลว่าจำเลยและบริวาร ยังไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาล ศาลจึงออกหมายบังคับคดีแล้ว และอธิบดีกรมบังคับคดีกำลังจะจัดเจ้าหน้าที่ให้มาบังคับคดี ตามคำสั่งศาล นั่นหมายความว่า เจ้าหน้าที่บังคับคดีจะปิดประกาศคำสั่งศาลอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ปฏิบัติตามคำสั่ง และเมื่อชัดเจนว่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง มีการตั้งเวที ขวางถนนอยู่ ก็จะให้โอกาสจำเลยทำการรื้อถอนเอง ถ้าไม่รื้อถอนเจ้าหน้าที่บังคับคดีจะดำเนินการรื้อถอนและนำไปเก็บก่อนตามระยะเวลาก่อนให้มารับคืน หรือหากไม่มารับคืนก็จะจำหน่ายเป็นเงินแทนค่ารื้อถอน
“อยากวิงวอนผู้ชุมนุม ขณะนี้ศาลมีคำสั่งชัดเจนแล้ว มีหมายบังคับคดีแล้ว อย่าได้กระทบกระทั่ง ขอให้รื้อถอนสิ่งก่อสร้างที่ถนนลูกหลวง ประตู 6 ถึงประตู 8 ทั้งหมด เพื่อเปิดเส้นทางการจราจร ให้เข้าทำงานได้ ขณะนี้อยู่ระหว่างรอหมายจากกรมบังคับคดีอยู่ และจะมีการร้องขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในการช่วยเหลือเชื่อว่าจะสามารถนำไปปิดประกาศได้อีกครั้งในช่วงบ่าย และการที่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่อุทธรณ์คำสั่งศาลถือว่ารับทราบแล้ว และต้องถือปฏิบัติ” พล.ต.ต.อำนวย กล่าว
พล.ต.ต.อำนวย กล่าวต่อว่า ส่วนที่กลุ่มผู้ชุมนุมจะเดินขบวนไปยัง ห้างคิงพาวเวอร์ ซอยรางน้ำนั้น มีการสั่งการให้ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 เตรียมกำลังดูแลโดยรอบบริเวณแล้ว ซึ่งอยากวิงวอนอีกครั้ง อยากให้ชุมนุอย่างสงบ ปราศจากอาวุธ เช่นเดียวกับที่ไปกระทรวงการคลัง และอย่าบุกเข้าไปในห้าง เพราะอาจมีมือที่ 3 สร้างสถานการณ์ได้ และอยากให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะหากฝ่าฝืนเจ้าหน้าที่ก็จำเป็นต้องดำเนินการตมกฎหมายโดยไม่มีการละเว้น
ผู้สื่อข่าวถามว่าในวันที่ 8 เม.ย. ที่กลุ่มผู้ชุมนุมจะมีการดาวกระจายไปยังหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ นั้น พล.ต.ต.อำนวย กล่าวว่า ขณะนี้ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. เรียกประชุมกำชับแผนในการรับมือ และอยากขอร้องผู้ชุมุนม สามารถใช้สิทธิ์ชุมนุมได้ แต่การกล่าวพาดพิง ก้าวล่วง ใช้คำที่ไม่สุภาพ การแสดงความคิดเห็นทางการเนื่องสามารถทำได้ แต่ต้องไม่ก้าวล่วงบุคคล โดยเฉพาะสถาบัน ตนขอเตือนอีกครั้ง ไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง ทุกตัวอักษรเราถอดเทปไว้ทั้งหมด เมื่อถึงจุดๆ นั้นเราจะดำเนินคดีอย่างแน่นอน และขอบอกเลยว่าจะรวบรวมพยานหลักฐานเสนอต่อศาลใช้เวลาไม่เกิน 3 วัน หากมีการก้าวล่วงสถาบัน
“หรือแม้แต่การก้าวล่วงตัวบุคคล หากข้อมูลไหนไม่ชัดเจนก็อย่าได้กล่าวพาดพิง แต่เชื่อว่าการดาวกระจายของกลุ่มเสื้อแดงครั้งนี้ไม่เกิดความรุนแรง ส่วนแผนการรับมือนั้นจนถึงขณะนี้แผนยังไม่ตกผลึก ต้องพยายามปรับแผนตลอดเวลา เพราะครั้งแรกว่าจะมีการสกัดกั้นแต่อาจจะเกิดการยั่วยุ จึงจะปล่อยให้ชุมนุมได้ แต่จะดูแลที่บริเวณบ้านสี่เสาให้ดีที่สุด” พล.ต.ต.อำนวย กล่าว
พล.ต.ต.อำนวย ยังกล่าวถึงกรณีตำรวจแต่งเครื่องแบบรอรับเสื้อแดง นั้น พล.ต.ท.วรพงษ์ ผบช.น. สั่งชุดสืบสวน ตรวจสอบว่า เป็นตำรวจสังกัดไหนเพื่อเสนอต่อต้นสังกัดพิจารณาต่อไป แต่ส่วนนี้ ตำรวจทหาร หรือข้าราชการอื่น ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 31 สามารถแสดงออกความคิดเห็นทางการเมืองได้ เหมือนบุคคลทั่วไป แต่ต้องไม่ขัดแย้งกับ กฎหมาย หรือ ระเบียบ ที่ออกโดยหน่วยงานนั้น ๆ ทั้งทางด้านเกี่ยวกับการเมือง จริยธรรม และวินัย ซึ่งต้องตรวจสอบอีกครั้ง ซึ่งการแสดงความคิดเห็นนั้นไม่ผิด อย่าง ตนจะรักพรรคไหนก็ได้ เลือกพรรคไหนก็ได้ แต่ต้องทำตัวเป็นกลาง แต่หากการแสดงออกนั้นเลยเถิดถึงขั้นโน้มน้าว ก็ต้องว่ากันอีกระดับหนึ่ง
“ส่วนความคืบหน้ากรณีกลุ่มพันธมิตรบุกยึดสนามบินดอนเมืองนั้น ในส่วนของ บช.น.ที่รับผิดชอบนั้นดำเนินการไปแล้วประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งยังสรุปไม่ได้เพราะต้องรอรวมพร้อมกับคดีสนามบินสุวรรณภูมิในพื้นที่ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ซึ่งหัวหน้าพนักงานสอบสวนในระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะพิจารณาอีกครั้ง และจะมีการแจ้งข้อหาก่อการร้ายหรือไม่นั้นคงต้องอยู่ที่หัวหน้าพนักงานสอบสวนพิจารณา” พล.ต.ต.อำนวย กล่าว