อธิบดีกรมราชทัณฑ์ แจง กระแสศรัทธาคนคุกอย่าง อดีต “พระภาวนาพุทโธ” ไม่ผิด ชี้การกระทำไม่ได้เป็นการปฏิบัติธรรม แค่สั่งสอนผู้มาเยี่ยมให้ทำกรรมดี ส่วนเรื่องเงิน 14 ล้าน ได้มาจากคนที่ศรัทธาฝากให้เจ้าตัวไว้ใช้ ตรวจสอบไม่พบนำเงินไปใช้ในทางที่ผิด กลับนำไปบริจาคสร้างวัด กุฏิพระ เผยคิวแน่นทุกวันอังคาร ญาติโยมแห่เยี่ยมวันละ 20-30 คน
ภายหลังจากเกิดกระแส “ศรัทธาคนคุก” กับนายจำลอง คนซื่อ หรืออดีต “พระภาวนาพุทโธ” อายุ 60 ปี อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพราน อ.สามพราน จ.นครปฐม ซึ่งถูกศาลพิพากษาตัดสินจำคุก 50 ปี ในข้อหากระทำผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี และปัจจุบันถูกจำคุกอยู่ที่เรือนจำกลางบางขวาง จ.นนทบุรี โดยมีญาติโยมศรัทธาแห่เข้าฟังคำสอนถึงในเรือนจำเป็นจำนวนมาก และยังฝากเงินไว้ให้ใช้สอยในคุกเป็นจำนวนเงินถึง 14 ล้านบาท
วันนี้ (26 มี.ค.) นายนัทธี จิตสว่าง อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยถึงอดีต “พระภาวนาพุทโธ” หรือ นช.จำลอง คนซื่อ ว่าการที่มีญาติมิตรมาเยี่ยมถือว่าเป็นไปตามระเบียบปฏิบัติปกติ ซึ่งหากเป็นคดียาเสพติดจะจำกัดให้เยี่ยมครั้งละไม่เกิน 5 คน หากเป็นคดีทั่วไปจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้บัญชาการแต่ละเรือนจำ ซึ่งอดีตพระภาวนาพุทธโธนั้น ไม่ได้เป็นการปฏิบัติธรรม แต่เป็นการสั่งสอนญาติมิตรที่มาเยี่ยม ไม่ให้ประพฤติความชั่วให้ทำแต่กรรมดี ซึ่งทางเรือนจำถือว่าไม่ใช่เรื่องผิดระเบียบ ทั้งนี้ ญาติโยมที่มาฟังคำสอนจะนิยมกันมาในวันอังคารประมาณ 20-30 คน ส่วนใหญ่เป็นขาประจำ
อธิบดีกรมราชทัณฑ์กล่าวต่ออีกว่า ส่วนเรื่องเงินในบัญชีจำนวน 14 ล้านบาทนั้น เกิดจากญาติโยมที่ศรัทธาต่ออดีตพระภาวนาพุทโธ โดยมาเยี่ยมแต่ละครั้งก็จะฝากเงินให้คนละเล็กละน้อยรวมๆ กันก็เป็นจำนวนมาก จากการตรวจตรวจสอบของกรมราชทัณฑ์ ไม่พบว่ามีการไปใช้ในทางที่ผิดระเบียบ แต่กลับนำไปใช้บริจาคเงินสร้างกุฏิพระ ศาลา ให้กับวัดเก่าในจังหวัดนครปฐม ดังนั้น เมื่อไม่มีความเสียหาย หรือผิดกฏระเบียบ จึงเป็นดุลพินิจของผู้บัญชาการเรือนจำที่จะอนุญาตให้ญาติมิตรเข้าเยี่ยม หรือบริจาคเงินเข้าบัญชี สำหรับการใช้ชีวิตปกติของอดีตพระภาวนาพุทโธในแต่ละวันในคุก ก็จะสวดมนต์ทำสมาธิ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจำลอง คนซื่อ หรืออดีตพระภาวนาพุทโธ อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพราน จ.นครปฐม ถูกศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุกเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2548 ฐานข่มขืนหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี ซึ่งมิใช่ภรรยาตน เป็นเวลา 50 ปี และสั่งจำคุกจำเลยที่ 2-7 ส่วนจำเลยที่ 8 ยกฟ้อง
ทั้งนี้ คดีอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องระบุความผิดจำเลย สรุปว่า ระหว่างเดือนสิงหาคม 2531-มกราคม 2538 จำเลยที่ 1 ขณะเป็นเจ้าอาวาสวัดสามพราน จ.นครปฐม รับอุปการะเลี้ยงดูเด็กชาวเขายากจนจาก จ.แม่ฮ่องสอน และ จ.เชียงใหม่ ส่วนจำเลยที่ 2-8 เป็นแม่ชีอยู่ในวัดสามพราน ได้ร่วมกันเป็นธุระจัดหาเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี 15 ปี และหญิงอายุไม่เกิน 18 ปี รวม 9 คน ซึ่งเป็นเด็กชาวเขาในอุปการะของจำเลยที่ 1 มาให้จำเลยที่ 1 กระทำอนาจารและข่มขืนตั้งแต่ปี 2531-2538 โดยจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
ศาลอาญาพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า จำเลยทั้งหมดกระทำผิดจริง ข้อต่อสู้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น จึงมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2547 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 รวมความผิดหลายข้อหารวม 160 ปี แต่ตามกฎหมายแล้วกำหนดให้จำคุกจำเลยไว้ได้ไม่เกิน 50 ปี จึงให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 50 ปี จำเลยที่ 2 จำคุก 31 ปี จำเลยที่ 3 จำคุก 28 ปี จำเลยที่ 4 จำคุก 10 ปี จำเลยที่ 5 จำคุก 3 ปี จำเลยที่ 6 จำคุก 4 ปี จำเลยที่ 7 จำคุก 10 ปี ส่วนจำเลยที่ 8 ยกฟ้อง
ต่อมาจำเลยที่ 1-4 และ 6-7 ยื่นอุทธรณ์คดีขอให้ศาลยกฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 5 กับ 8 ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า ฝ่ายโจทก์มีผู้เสียหาย เป็นประจักษ์พยานยืนยันว่า จำเลยที่ 1 กระทำชำเราหลายครั้งหลายหน โดยมีจำเลยที่ 2-7 คอยให้ความช่วยเหลือ ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง คดีจึงไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
ภายหลังจากเกิดกระแส “ศรัทธาคนคุก” กับนายจำลอง คนซื่อ หรืออดีต “พระภาวนาพุทโธ” อายุ 60 ปี อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพราน อ.สามพราน จ.นครปฐม ซึ่งถูกศาลพิพากษาตัดสินจำคุก 50 ปี ในข้อหากระทำผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี และปัจจุบันถูกจำคุกอยู่ที่เรือนจำกลางบางขวาง จ.นนทบุรี โดยมีญาติโยมศรัทธาแห่เข้าฟังคำสอนถึงในเรือนจำเป็นจำนวนมาก และยังฝากเงินไว้ให้ใช้สอยในคุกเป็นจำนวนเงินถึง 14 ล้านบาท
วันนี้ (26 มี.ค.) นายนัทธี จิตสว่าง อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยถึงอดีต “พระภาวนาพุทโธ” หรือ นช.จำลอง คนซื่อ ว่าการที่มีญาติมิตรมาเยี่ยมถือว่าเป็นไปตามระเบียบปฏิบัติปกติ ซึ่งหากเป็นคดียาเสพติดจะจำกัดให้เยี่ยมครั้งละไม่เกิน 5 คน หากเป็นคดีทั่วไปจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้บัญชาการแต่ละเรือนจำ ซึ่งอดีตพระภาวนาพุทธโธนั้น ไม่ได้เป็นการปฏิบัติธรรม แต่เป็นการสั่งสอนญาติมิตรที่มาเยี่ยม ไม่ให้ประพฤติความชั่วให้ทำแต่กรรมดี ซึ่งทางเรือนจำถือว่าไม่ใช่เรื่องผิดระเบียบ ทั้งนี้ ญาติโยมที่มาฟังคำสอนจะนิยมกันมาในวันอังคารประมาณ 20-30 คน ส่วนใหญ่เป็นขาประจำ
อธิบดีกรมราชทัณฑ์กล่าวต่ออีกว่า ส่วนเรื่องเงินในบัญชีจำนวน 14 ล้านบาทนั้น เกิดจากญาติโยมที่ศรัทธาต่ออดีตพระภาวนาพุทโธ โดยมาเยี่ยมแต่ละครั้งก็จะฝากเงินให้คนละเล็กละน้อยรวมๆ กันก็เป็นจำนวนมาก จากการตรวจตรวจสอบของกรมราชทัณฑ์ ไม่พบว่ามีการไปใช้ในทางที่ผิดระเบียบ แต่กลับนำไปใช้บริจาคเงินสร้างกุฏิพระ ศาลา ให้กับวัดเก่าในจังหวัดนครปฐม ดังนั้น เมื่อไม่มีความเสียหาย หรือผิดกฏระเบียบ จึงเป็นดุลพินิจของผู้บัญชาการเรือนจำที่จะอนุญาตให้ญาติมิตรเข้าเยี่ยม หรือบริจาคเงินเข้าบัญชี สำหรับการใช้ชีวิตปกติของอดีตพระภาวนาพุทโธในแต่ละวันในคุก ก็จะสวดมนต์ทำสมาธิ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจำลอง คนซื่อ หรืออดีตพระภาวนาพุทโธ อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพราน จ.นครปฐม ถูกศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุกเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2548 ฐานข่มขืนหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี ซึ่งมิใช่ภรรยาตน เป็นเวลา 50 ปี และสั่งจำคุกจำเลยที่ 2-7 ส่วนจำเลยที่ 8 ยกฟ้อง
ทั้งนี้ คดีอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องระบุความผิดจำเลย สรุปว่า ระหว่างเดือนสิงหาคม 2531-มกราคม 2538 จำเลยที่ 1 ขณะเป็นเจ้าอาวาสวัดสามพราน จ.นครปฐม รับอุปการะเลี้ยงดูเด็กชาวเขายากจนจาก จ.แม่ฮ่องสอน และ จ.เชียงใหม่ ส่วนจำเลยที่ 2-8 เป็นแม่ชีอยู่ในวัดสามพราน ได้ร่วมกันเป็นธุระจัดหาเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี 15 ปี และหญิงอายุไม่เกิน 18 ปี รวม 9 คน ซึ่งเป็นเด็กชาวเขาในอุปการะของจำเลยที่ 1 มาให้จำเลยที่ 1 กระทำอนาจารและข่มขืนตั้งแต่ปี 2531-2538 โดยจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
ศาลอาญาพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า จำเลยทั้งหมดกระทำผิดจริง ข้อต่อสู้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น จึงมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2547 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 รวมความผิดหลายข้อหารวม 160 ปี แต่ตามกฎหมายแล้วกำหนดให้จำคุกจำเลยไว้ได้ไม่เกิน 50 ปี จึงให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 50 ปี จำเลยที่ 2 จำคุก 31 ปี จำเลยที่ 3 จำคุก 28 ปี จำเลยที่ 4 จำคุก 10 ปี จำเลยที่ 5 จำคุก 3 ปี จำเลยที่ 6 จำคุก 4 ปี จำเลยที่ 7 จำคุก 10 ปี ส่วนจำเลยที่ 8 ยกฟ้อง
ต่อมาจำเลยที่ 1-4 และ 6-7 ยื่นอุทธรณ์คดีขอให้ศาลยกฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 5 กับ 8 ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า ฝ่ายโจทก์มีผู้เสียหาย เป็นประจักษ์พยานยืนยันว่า จำเลยที่ 1 กระทำชำเราหลายครั้งหลายหน โดยมีจำเลยที่ 2-7 คอยให้ความช่วยเหลือ ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง คดีจึงไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำพิพากษาของศาลชั้นต้น