ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง โชว์จับแก๊งเงินดำ หลอกเหยื่อนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีสามารถใช้เครื่องอิเลกทรอนิกส์ และน้ำยาเคมีพิเศษล้างกระดาษสีดำเปลี่ยนเป็นแบงก์ดอลลาร์สหรัฐฯได้ หลงกลเชื่อลงทุนซื้อเครื่องมือผลิตแบงก์สูญเงินเปล่า 3 ล้าน ผู้ต้องหายังปากแข็งไม่บอกที่มาของเครื่องผลิตเงินดำ ด้าน ตร.ขึ้นบัญชีเป็นคนต้องห้ามเข้าประเทศ
วันนี้ (26 มี.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น.ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.ต.พิทักษ์ จารุสมบัติ พล.ต.ต.ธนากร ศิริอัฐ รอง ผบช.สตม. พ.ต.อ.วัชระ สังวรโยธิน รองผบก.ศสส.สตม. พ.ต.อ.บัณฑิต ตุงคะเศรณี ผกก.1 ศสส.สตม.พร้อมเจ้าหน้าที่กก.1 ศสส.สตม.ร่วมกันแถลงข่าวจับกุม นายโชมา โมฮาเม็ด ราไม อายุ 36 ปี สัญชาติกินี และ นายเอ็ดวิน สมิทธ อายุ 35 ปี สัญชาติบอสวานี พร้อมของกลางอุปกรณ์ที่ใช้ในการหลอกลวงผลิตเงินดำจำนวนหลายรายการ เช่น เครื่องล้างเงินดำ น้ำยาล้างเงินดำ กระดาษสีดำลักษณะคล้ายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มูลค่า 60 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ฯลฯ
พล.ต.ต.พิทักษ์ เปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ กก.1 ศสส.สตม.สืบทราบว่าผู้ต้องหาทั้งสองคนกำลังเปิดห้องในโรงแรมรัชดารีสอร์ท ซอยรัชดาภิเษก 3 แขวงและเขตดินแดง เพื่อหลอกลวงนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีสองคน ว่า มีเครื่องมืออิเลกทรอนิกส์ และน้ำยาเคมีพิเศษที่สามารถล้างกระดาษสีดำให้เปลี่ยนเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯได้ โดยให้นักท่องเที่ยวทั้งสองคนร่วมลงทุนซื้อเครื่องมือดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงเข้าจับกุมพร้อมยึดของกลางทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน ก่อนนำตัวมาสอบปากคำ
พล.ต.ต.พิทักษ์ กล่าวต่อไปว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งสองให้การแต่เพียงว่าเข้ามาในประเทศไทยในฐานะนักท่องเที่ยว ส่วนเครื่องมือและน้ำยาล้างเงินดำนั้นไปรับต่อมาอีกทอดหนึ่ง แต่ยังไม่ยอมบอกว่าไปรับมาจากใคร อย่างไรก็ตาม การกระทำของผู้ต้องหาสองคนนี้ถือว่าเป็นลักษณะบุคคลต้องห้ามตามมาตรา 12(7) พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 จึงทำการยกเลิกวีซ่า และผลักดันออกนอกประเทศ พร้อมทั้งขึ้นบัญชีเป็นบุคคลต้องห้ามเข้ามาประเทศไทย ทั้งนี้ หากผู้เสียหายชาวเกาหลีทั้งสองคนเข้าแจ้งความ ก็จะดำเนินคดีในข้อหาหลอกลวงต่อไป
พล.ต.ต.พิทักษ์ กล่าวด้วยว่า จากการสอบถามผู้เสียหายชาวเกาหลีทั้งสองทราบว่า เคยถูกแก๊งเงินดำหลอกตุ๋นเรื่องเงินดำมาแล้วครั้งหนึ่งสูญเงินไป 120 ล้านวอน หรือประมาณ 3 ล้านบาทไทย นอกจากนี้ ก่อนเจ้าหน้าที่จะเข้าจับกุมผู้ต้องหาสองคนนั้น ผู้เสียหายก็เพิ่งถูกแก๊งชาวเกาหลีด้วยกันหลอกขายวัตถุสีทองให้ โดยอ้างว่าเป็นทองที่ลักลอบนำเข้ามา แต่แท้จริงแล้วเป็นแค่ว่าเป็นตะกั่วสีทองเท่านั้น จึงอยากฝากเตือนนักท่องเที่ยวอย่าได้หลงเชื่อแก๊งเหล่านี้เป็นอันขาด
วันนี้ (26 มี.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น.ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.ต.พิทักษ์ จารุสมบัติ พล.ต.ต.ธนากร ศิริอัฐ รอง ผบช.สตม. พ.ต.อ.วัชระ สังวรโยธิน รองผบก.ศสส.สตม. พ.ต.อ.บัณฑิต ตุงคะเศรณี ผกก.1 ศสส.สตม.พร้อมเจ้าหน้าที่กก.1 ศสส.สตม.ร่วมกันแถลงข่าวจับกุม นายโชมา โมฮาเม็ด ราไม อายุ 36 ปี สัญชาติกินี และ นายเอ็ดวิน สมิทธ อายุ 35 ปี สัญชาติบอสวานี พร้อมของกลางอุปกรณ์ที่ใช้ในการหลอกลวงผลิตเงินดำจำนวนหลายรายการ เช่น เครื่องล้างเงินดำ น้ำยาล้างเงินดำ กระดาษสีดำลักษณะคล้ายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มูลค่า 60 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ฯลฯ
พล.ต.ต.พิทักษ์ เปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ กก.1 ศสส.สตม.สืบทราบว่าผู้ต้องหาทั้งสองคนกำลังเปิดห้องในโรงแรมรัชดารีสอร์ท ซอยรัชดาภิเษก 3 แขวงและเขตดินแดง เพื่อหลอกลวงนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีสองคน ว่า มีเครื่องมืออิเลกทรอนิกส์ และน้ำยาเคมีพิเศษที่สามารถล้างกระดาษสีดำให้เปลี่ยนเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯได้ โดยให้นักท่องเที่ยวทั้งสองคนร่วมลงทุนซื้อเครื่องมือดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงเข้าจับกุมพร้อมยึดของกลางทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน ก่อนนำตัวมาสอบปากคำ
พล.ต.ต.พิทักษ์ กล่าวต่อไปว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งสองให้การแต่เพียงว่าเข้ามาในประเทศไทยในฐานะนักท่องเที่ยว ส่วนเครื่องมือและน้ำยาล้างเงินดำนั้นไปรับต่อมาอีกทอดหนึ่ง แต่ยังไม่ยอมบอกว่าไปรับมาจากใคร อย่างไรก็ตาม การกระทำของผู้ต้องหาสองคนนี้ถือว่าเป็นลักษณะบุคคลต้องห้ามตามมาตรา 12(7) พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 จึงทำการยกเลิกวีซ่า และผลักดันออกนอกประเทศ พร้อมทั้งขึ้นบัญชีเป็นบุคคลต้องห้ามเข้ามาประเทศไทย ทั้งนี้ หากผู้เสียหายชาวเกาหลีทั้งสองคนเข้าแจ้งความ ก็จะดำเนินคดีในข้อหาหลอกลวงต่อไป
พล.ต.ต.พิทักษ์ กล่าวด้วยว่า จากการสอบถามผู้เสียหายชาวเกาหลีทั้งสองทราบว่า เคยถูกแก๊งเงินดำหลอกตุ๋นเรื่องเงินดำมาแล้วครั้งหนึ่งสูญเงินไป 120 ล้านวอน หรือประมาณ 3 ล้านบาทไทย นอกจากนี้ ก่อนเจ้าหน้าที่จะเข้าจับกุมผู้ต้องหาสองคนนั้น ผู้เสียหายก็เพิ่งถูกแก๊งชาวเกาหลีด้วยกันหลอกขายวัตถุสีทองให้ โดยอ้างว่าเป็นทองที่ลักลอบนำเข้ามา แต่แท้จริงแล้วเป็นแค่ว่าเป็นตะกั่วสีทองเท่านั้น จึงอยากฝากเตือนนักท่องเที่ยวอย่าได้หลงเชื่อแก๊งเหล่านี้เป็นอันขาด