หนุ่มควาญช้างชาวเมืองปราสาทหินพาลูกช้างพัง ตระเวนขายกล้วย อ้อย แตงกวาให้ ปชช.ซื้อเลี้ยงช้าง มิหนำซ้ำยังใช้ง้าวเคาะหัวตลอดเวลา พลเมืองดีทนดูพฤติกรรมไม่ไหวแจ้งตำรวจจับกุม แจ้งข้อหาทรมานสัตว์ กีดขวางการจราจร
วันนี้ (12 มี.ค.) เมื่อเวลา 19.00 น. ร.ต.ท.คมกฤษ โพธิ์ศรี ร้อยเวร สน.พญาไท ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า มีควานช้างทำร้ายช้างขณะเดินเร่ร่อนขายอาหารบนถนนด้านหน้าอาคารใบหยกทาวเวอร์ ถนนราชปรารภ แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กทม.จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบแล้วรีบรุดไปตรวจสอบพร้อมกำลังเจ้าหน้าที่สายตรวจ
ที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ พบนายจตุพล บุญครอง อายุ 30 ปี ควานช้างชาว จ.บุรีรัมย์ กำลังเดินจูงลูกช้างพังเพศเมีย ชื่อ “น้องสาลี่” อายุประมาณ 2 ปี 6 เดือน เร่ร่อนขายอาหารประเภทกล้วย อ้อย และแตงกวา ให้ประชาชนที่อยู่ในย่านดังกล่าว โดยระหว่างนั้น นายจตุพลก็ได้ใช้ง้าวเคาะที่หัวน้องสาลี่เพื่อบังคับให้ปฏิบัติตามคำสั่งอยู่ตลอดเวลา เจ้าหน้าที่จึงเข้าทำการจับกุมก่อนควบคุมตัวควานช้างรายนี้และน้องสาลี่ไปสอบสวน ที่สน.พญาไท
จากการสอบสวน นายจตุพลให้การว่า ตนกับน้องชายของภรรยาพาน้องสาลี่เดินทางจาก จ.บุรีรัมย์ เข้ามาเร่ร่อนขายอาหารใน กทม.ได้ประมาณ 2 สัปดาห์แล้ว โดยว่าจ้างให้รถบรรทุกเข้ามาส่งในราคา 10,000 บาท ที่ผ่านมาตนก็จะจูงน้องสาลี่ไปขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านให้ช่วยซื้ออาหารเลี้ยงตามย่านถนนพระราม 9 และ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ พอพลบค่ำที่ไหนก็นอนพักผ่อนที่นั่น ซึ่งรายได้จากการเร่ขายอาหารจะมีกำไรวันละประมาณ 300 บาท
“ที่ต้องตัดสินใจเข้ามาเร่ร่อนใน กทม.ก็เพื่อปากท้องของทุกฝ่าย ส่วนเรื่องที่ผมใช้ง้าวเคาะหัวน้องสาลี่ตามที่มีพลเมืองดีแจ้งให้ตำรวจมาจับนั้น ขอปฏิเสธว่าไม่ได้ออกแรงเคาะมากมายแต่อย่างใด เคาะเพียงแค่เบาๆ เพื่อปรามไม่ให้มันซนมากไปเท่านั้น” นายจตุพล กล่าว
ขณะเดียวกัน นายสมหวัง ชะวาเขียว อายุ 48 ปี พนักงานบริษัทแห่งหนึ่งบนอาคารใบหยกทาวเวอร์ ซึ่งเป็นพลเมืองดีที่แจ้งความให้ตำรวจไปจับควาญช้างในครั้งนี้เปิดเผยว่า ระหว่างที่ตนกำลังทำธุระอยู่ด้านหน้าตึกใบหยก ก็ได้เหลือบไปเห็นนายจตุพลจูงช้างมาเร่ขายอาหารให้กับประชาชนในย่านนั้น พร้อมกับใช้ง้าวที่อยู่ในมือเฉาะหัวช้างบ่อยๆ ทำให้ช้างเกิดความเจ็บปวดส่งเสียงร้องออกมาอยู่ตลอดเวลา จึงตัดสินใจโทรศัพท์แจ้งให้ตำรวจมาจับกุมตัวเพื่อนำไปดำเนินคดีที่โรงพักเพราะรู้สึกสงสาร และทราบข่าวว่าวันพรุ่งนี้ (13 มี.ค.) เป็นวันช้างไทยอีกด้วย
ต่อมา นายวิษณุ จันทร์แสง อายุ 32 ปี ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องภรรยาของนายจตุพลได้เดินทางมาให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในฐานะเจ้าของช้าง พร้อมนำเอกสารระบุรูปพรรณสัตว์ และใบอนุญาตขนย้ายสัตว์ข้ามพื้นที่ตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคระบาดมามอบให้กับร้อยเวรเพื่อทำการตรวจสอบ โดยนายวิษณุให้การว่า ก่อนหน้านี้พ่อตนซื้อน้องสาลี่มาในราคา 470,000 บาท จากนั้นก็มอบให้ตนพาไปทำงานรับนักท่องเที่ยวอยู่ที่สวนช้าง จ.ชลบุรี ทำรายได้เฉลี่ยประมาณเดือนละ 7,000 บาท ต่อมาสวนช้างก็เริ่มประสบปัญหาสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ไม่มีเงินจ่ายควานช้างตนจึงต้องพาน้องสาลี่กลับบ้านไปตั้งหลักที่ จ.บุรีรัมย์ ก่อนตัดสินใจพาเข้ามาเร่ขายอาหารเพื่อประทังชีวิตใน กทม.
ด้าน ร.ต.ท.คมกฤษ กล่าวว่า เบื้องต้นตนได้แจ้งข้อหาทารุณสัตว์และทำให้กีดขวางการจราจร แก่นายจตุพล โดยมีโทษปรับข้อหาละไม่เกิน 1,000 บาท เพราะจากการตรวจสอบพบว่าเจ้าของช้างมีเอกสารระบุรูปพรรณสัตว์ และใบอนุญาตขนย้ายสัตว์ข้ามพื้นที่ตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคระบาด อย่างถูกต้องจึงไม่สามารถดำเนินคดีในข้อหาที่หนักไปกว่านี้ได้ อย่างไรก็ตาม ตนฝากประชาสัมพันธ์ไปถึงควาญช้างรายอื่นๆ ด้วยว่า อย่าได้นำช้างในความดูแลของท่านเข้ามาเร่ร่อนใน กทม.อีกเลยเนื่องจากมันเป็นปัญหาที่กระทบต่อสังคมที่สำคัญหากควานช้างรายใดไม่มีเอกสารระบุรูปพรรณสัตว์ และใบอนุญาตขนย้ายสัตว์ข้ามพื้นที่ตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคระบาดก็จะถูกแจ้งข้อหาหนักคือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่ถึง 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับอีกด้วย