xs
xsm
sm
md
lg

ตร.เร่งล่าตัวมือปลอมใบหุ้นซิเมนต์ไทย

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายประพันธ์ ชูเมือง อายุ 37 ปี ผู้ต้องหา
ตำรวจเร่งสืบสวนติดตามตัวอดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนหุ้นเครือซิเมนต์ไทย ปลอมแปลงใบหุ้นนักธุรกิจตระกูลดัง ก่อนนำไปขายเชิดเงิน กว่า 67 ล้านบาท คาดหลบหนีกบดาลในภาคเหนือ

จากกรณีทายาทนักธุรกิจตระกูลดังนำใบหุ้นของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) ไปขอขึ้นเงินแล้วพบว่าเป็นใบหุ้นปลอม โดยทางบริษัทฯ ได้ตรวจสอบพบว่ามีพนักงานปลอมแปลงใบหุ้นสามัญ จำนวน 2 ใบ รวมจำนวนหุ้นทั้งสิ้น 672,000 หุ้น คิดเป็นมูลค่าหุ้นประมาณ 67 ล้านบาท และทางบริษัทตรวจสอบพบแบบฟอร์มใบหุ้นสามัญได้สูญหายไปจำนวน 34 ใบ เลขที่ 0025001-0025034 จึงมีการยกเลิกใบหุ้นและแจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานรายดังกล่าว จนมีการออกหมายจับไปเมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมานั้น

ล่าสุด วันนี้ (21 ก.พ.) พล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ ผบก.น.2 เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่า ได้รับรายงานเกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้น ว่าเป็นคดีที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 47-48 โดยรายละเอียดเท่าที่ทราบคือผู้เสียหาย คือ นายวรรโณทัย อมาตยกุล เป็นนักธุรกิจตระกูลดัง ได้ลงทุนเก็งกำไรด้วยการซื้อหุ้นบริษัทใหญ่ๆที่มีความน่าเชื่อถือมาเก็บไว้ ซึ่งในช่วงที่เกิดเหตุหุ้นของเครือซีเมนต์ไทยอยู่ในช่วงราคาสูง แต่ละหุ้นมีราคาในท้องตลาดถึงหุ้นละ 100 บาท ผู้เสียหายจึงได้เปิดเครดิตกับโบรกเกอร์เพื่อซื้อหุ้นจำนวนตามที่เป็นข่าวไว้แล้วนำเอกสารซื้อหุ้นของตนไปฝากไว้กับนายประพันธ์ ชูเมือง ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนหุ้นส่วนของบริษัทเครือซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีความคุ้นเคยกัน เนื่องจากนายวรรโณทัย ได้ติดต่อทำธุรกรรมเกี่ยวกับหุ้นดังกล่าวกับบริษัทบ่อยครั้ง

พล.ต.ต.สาโรจน์ กล่าวต่อว่า นายประพันธ์จึงสบช่องทำใบทะเบียนผู้ถือหุ้นปลอมขึ้นมาก่อนที่จะนำไปคืนให้นายวรรโณทัยเก็บไว้ ส่วนเจ้าตัวก็นำใบหุ้นไปขายต่อ จนกระทั่งนายวรรโณทัยได้เสียชีวิตลงด้วยโรคชราเมื่อปีที่ผ่านมา ทายาทของนายวรรโณทัยจึงตั้งนายวรรณพงษ์ รุ่งโรจน์วุฒิกุล เป็นผู้จัดการมรดกเพื่อดำเนินการแบ่งมรดกให้ทายาททุกคนโดยส่วนของหุ้นของเครือซิเมนต์ไทย จะต้องตกเป็นของบุตรชายของผู้เสียหายคือนายเกียรติพงษ์ อมาตยกุล ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงาน ภาค 6

ต่อมา นายวรรณพงษ์ ในฐานะผู้จัดการมรดกจึงติดต่อไปยังนายประพันธ์ ผู้ต้องหาเพื่อปรึกษาเนื่องจากเห็นว่ามีความสนิทสนมกับผู้ตายและดูแลผลประโยชน์ด้านหุ้นให้แก่ ผู้ตายมาโดยตลอด ซึ่งนายประพันธ์ก็ยังรับปากว่าจะดำเนินการเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นจากนายวรรโณทัย เป็นชื่อของนายเกียรติพงษ์ ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าหุ้นดังกล่าวตัวเองได้นำออกขายไปหมดแล้ว จึงมีผลเท่ากับนายประพันธ์ได้ปลอมเอกสารขึ้นถึง 2 ครั้ง เมื่อได้ใบหุ้นปลอมไป

หลังจากนั้น นายวรรณพงษ์นำหุ้นดังกล่าวไปตรวจสอบกับศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์ แต่กลับปรากฏว่าหุ้นดังกล่าวเป็นหุ้นที่ถูกเปลี่ยนมือ คือ มีการขายทอดตลาดไปแล้วตั้งแต่ปี 47 นายวรรณพงษ์ และทายาทจึงได้นำเรื่องไปปรึกษากับบริษัทฯ ทางบริษัทจึงตั้งตัวแทน เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.เตาปูน ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานมาโดยตลอดเนื่องจากเป็นคดีไม่ซับซ้อนเพราะรู้ตัวผู้กระทำผิด จนกระทั่งศาลอาญาได้พิจารณาออกหมายจับผู้ต้องหาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ด้าน พ.ต.ท.พิสิฐชัย สุนทรธนปรีดา พนักงานสอบสวน (สบ 3) เจ้าของคดีเปิดเผยว่า คดีนี้บริษัท เครือซิเมนต์ไทย ได้มอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติการเข้าแจ้งความไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากได้รับแจ้งความ ตนก็ทำรายงานเสนอผู้บังคับบัญชาให้ทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดย พ.ต.อ.วีระ จิรวีระ ผกก.สน.เตาปูน ได้ตั้งคณะทำงานชุดเฉพาะกิจขึ้น

โดยคดีนี้มีพนักงานสอบสวน 3 นาย มีตนหัวหน้าชุดเพื่อประสานขอข้อมูล ด้านธุรกรรมระหว่างผู้เสียหายกับบริษัทฯ ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ และขอข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้ต้องหา คือนายประพันธ์ ชูเมือง อายุ 37 ปี ภูมิลำเนาเดิมบ้านเลขที่ 66/2 ม.9 ต.นิคมพัฒนา อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก โดยข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อปี 2546 ผู้เสียหายได้ติดต่อของซื้อหุ้นของบริษัทฯ เป็นจำนวนหลายแสนหุ้นเพื่อมาเก็บไว้ แต่เนื่องจากผู้เสียหายไม่ต้องการขายทำกำไรเพราะต้องการเก็บไว้เป็นทรัพย์สินให้แก่ลูกหลาน จึงได้ไปแจ้งกับศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์ เพื่อขอปิดหุ้นจำนวนดังกล่าวไว้ โดยทางศูนย์จึงได้ออกใบรับรองมอบให้นายวรรโณทัยถือไว้ 1 ฉบับ

จากนั้นนายวรรโณทัยนำใบรับรองดังกล่าวไปฝากไว้กับนายประพันธ์ด้วยความไว้วางใจ จนกระทั่งปี 2547 ผู้ต้องหาออกอุบายว่าทำใบรับรองหายแล้วไปแจ้งความเพื่อขอใบรับรองใหม่ให้ผู้เสียหาย แต่กลับปลอมใบรับรองแล้วมอบคืนให้ผู้เสียหาย ส่วนใบรับรองตัวจริงนำไปทยอยเทขายในตลาดหุ้น จนเรื่องมาแดงขึ้นหลังทายาทนำใบรับรองไปตรวจสอบดังกล่าว ซึ่งหลังจากรวบรวมพยานหลักฐานได้พอสมควรจึงได้ขออนุมัติศาลอาญาเพื่ออกหมายจับในข้อหาปลอมเอกสารใบหุ้น โดยศาลอาญาได้อนุมัติออกหมายจับที่ 309/52 ลงวันที่ 2 ก.พ. แล้ว

พ.ต.ท.พิสิฐชัย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบพิรุธมากมายเกี่ยวกับธุรกรรมด้านการเงินของผู้ต้องหาเนื่องจากมีการโอนเงินเข้า-ออกบัญชีธนาคารหลายแห่งทั้ง ธ.กรุงไทย ธ.กรุงเทพ ธ.ไทยพาณิชย์ และ ธ.กรุงศรีอยุธยา ครั้งละเป็นจำนวนมาก ซึ่งได้ประสานกับธนาคารเหล่านี้เพื่อตรวจสอบข้อมูลด้านการเงินของผู้ต้องหาแล้ว นอกจากนั้นผู้ต้องหายังซื้อ-ขายหุ้นดังๆ อีกหลายตัวในตลาดหลักทรัพย์ โดยล่าสุดเมื่อประมาณสัปดาห์ที่แล้วมีการเทขายหุ้นตัวหนึ่งเป็นมูลค่า 15 ล้านบาท โดยมีการโอนเงินผ่านธนาคารแห่งหนึ่ง แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบพบและอายัดไว้ได้ก่อน

พ.ต.ท.พิสิฐชัย กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นขณะที่พนักงานสอบสวนได้ทำการตรวจสอบข้อมูลกับบริษัทฯ ก็ได้รับแจ้งจากทางบริษัทว่า ผู้ต้องหาได้ทุจริตด้วยการเพิ่มจำนวนหุ้นในเครือบริษัทฟีนิกส์ แอนด์ เปเปอร์ ให้มีจำนวนมากกว่าที่ระบุไว้ในใบซื้อขายแล้วนำเงินส่วนต่างที่ได้ไปโอนเข้าบัญชีเงินฝากของนางมยุรี สมบูรณ์ อายุ 36 ปี ภรรยาของตัวเอง ซึ่งทางพนักงานสอบสวนคาดว่านางมยุรีน่าจะมีส่วนรู้เห็นในคดีนี้จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเสนอศาลอาญาพิจารณาอนุมัติออกหมายจับในข้อหาร่วมกันปลอมและใช้ใบหุ้นปลอมต่อนายประพันธ์ และนางมยุรี

โดยศาลได้อนุมัติออกหมายจับที่ 370-371 /52 ลงวันที่ 12 ก.พ.2552 ที่ผ่านมา และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้ติดตามจับกุมนางมยุรี ได้เมื่อวันที่ 13 ก.พ. แต่นางมยุรีให้การปฏิเสธไม่มีส่วนรู้เห็นเพราะได้เลิกรากันไปนานแล้ว และใช้เงินสดจำนวน 200,000 บาท ประกันตัวออกไป แต่เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อตามที่ผู้ต้องหาให้การ

รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนปราบปรามและฝ่ายสืบสวนได้เบาะแสแล้วพบว่านายประพันธ์หลบหนีไปกบดานอยู่ในจังหวัดแห่งหนึ่งในภาคเหนือ และกำลังติดตามจับกุมอย่างกระชั้นชิด ซึ่งคาดว่าน่าจะได้ตัวในเร็วๆ นี้
กำลังโหลดความคิดเห็น