“อลงกรณ์” เผยโฉมไอ้โม่งอยู่เบื้องหลังปั๊มซีดีเถื่อนเมืองนนทบุรี 2 คน ชื่อ “เสี่ย ก.-เสี่ย ฮ.” จ้องส่งส่วยล้มคดี ระบุยังมีตำรวจตั้งแต่ระดับนายพลถึงชั้นประทวนมากกว่า 41 รายมีเอี่ยวคอยรับสินบน เป็นแบล็กคอยอุ้ม จนถึงเป็นผู้ค้าเองอีกเพียบ ลั่น ใครหน้าไหนจะใหญ่โตเป็นตำรวจ เป็นรัฐมนตรี หรือนักการเมืองทุกระดับ ถ้าพัวพันขบวนการละเมิดลิขสิทธิ์ ต้องโดนทั้งอาญาและวินัยหนัก 2 เท่า ชี้ถ้าอยากลองไม่ต้องการเป็นตำรวจจะหาที่อยู่ให้ใหม่
วันนี้ (11 ก.พ.) นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์พิเศษกับเอเอสทีวีผู้จัดการ ถึงข้อมูลนายตำรวจตั้งแต่ระดับนายพลถึงชั้นประทวน จำนวน 41 นาย เกี่ยวข้องกับขบวนการละเมิดลิขสิทธิ์ว่า รายชื่อตำรวจที่พัวพันกับขบวนการดังกล่าวรัฐบาลชุดนี้ไม่ได้ทำแบบไฟไหม้ฟาง ไม่ได้ปราบปรามเพื่อให้เป็นข่าว เป็นไปตามข้อเท็จจริงตามการขยายผลการจับกุม โดยสาวถึงผู้อยู่เบื้องหลังมีทั้งตำรวจในต่างจังหวัด ตำรวจในส่วนกลาง ระดับตั้งแต่ชั้นประทวน ถึงนายพล มีการรับส่วย มีการรับเงินเพื่อช่วยเหลือคดี แม้กระทั้งทำการค้าขายซีดีเถื่อนเอง ซึ่งในการเข้าจู่โจมทลายแหล่งผลิตซีดีเถื่อนที่โรงงานในจังหวัดนนทบุรี มีเจ้าของเป็นนายทุนชื่อ “เสี่ย ก.” และ “เสี่ย ฮ.” โดยบุคคลทั้งสองเป็นผู้ที่อยู่ในแวดวงอยู่เบื้องหลังธุรกิจมืดในการละเมิดลิขสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งก็เป็นที่รู้กันมานานแล้วแต่ไม่มีการจับกุม เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่รัฐคอยเก็บส่วย รับสินบนจากผู้ผลิตรายใหญ่ ส่วนจะมีนักการเมืองอยู่เบื้องหลังอยู่หรือไม่ ตนยังไม่ได้รับรายงาน แต่ได้กำชับเจ้าหน้าที่ด้านปราบปรามสินค้าเถื่อนแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จะเป็นระดับรัฐมนตรี หรือ ส.ส., สมาชิกวุฒิสภา และเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐคนใดเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย ตามระเบียบราชการทางวินัยอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะถ้ามีผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพัวพันด้วยจะยิ่งลงโทษรุนแรงหนักเกิน 2 เท่า
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลให้แน่นหนาทั้งหลักฐานต่างๆ เพื่อเอาผิดกับนายทุนทั้ง 2 คนต่อไป ซึ่งตนเชื่อว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.จะเร่งดำเนินการกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้อย่างเหมาะสม โดยที่ผ่านมาได้พูดคุยกับผบ.ตร.แล้วให้ลงโทษทางวินัยและทางอาญานายตำรวจตั้งแต่ระดับนายพล และที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้เด็ดขาด เนื่องจากหน่วยงานรัฐต้องการเจ้าหน้าที่ทำงานด้านการปราบปรามที่ซื่อสัตย์ ซึ่งกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ร่วมทำงานกับกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีและคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง จึงพบว่าการปราบปรามมีนายตำรวจในพื้นที่ มีทั้งระดับนายพลคอยคุ้มครอง ช่วยเหลือเกือกูลธุรกิจใต้ดินละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งรายชื่อตำรวจ 41 นายที่ได้นำเสนอนายกรัฐมนตรีไปแล้วเป็นรายชื่อที่กรรมใดใครก่อต้องรับกรรม ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่นี้ ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยขัดขวางการปราบปรามธุรกิจอยู่อีก ซึ่งได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาแต่ละสังกัดสอบสวนลงโทษทางวินัยต่อไป ส่วนตัวขอเรียกร้องให้ตำรวจที่อยู่เบื้องหลังธุรกิจใต้ดินกลับตัวกลับใจ ไม่เช่นนั้นจะย้ายที่อยู่ให้
นายอลงกรณ์ กล่าวต่อไปว่า ได้สั่งการให้มีการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีที่มีข้อมูลการปราบปราบ ข้อมูลรายชื่อนายตำรวจผู้ที่เกี่ยวข้องกับวงจรละเมิดลิขสิทธิ์รั่วไหลได้อย่างไร ซึ่งก็ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีแล้วเห็นควรให้เร่งตรวจสอบทั้งกระทรวงพาณิชย์ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากการปราบปรามธุรกิจใต้ดินที่มีอำนาจมืดเกี่ยวข้อง และเรื่องความลับของทางราชการที่สำคัญ เป็นเรื่องที่เปิดเผยไม่ได้ แต่กลับมีข้อมูลรั่วไหลออกมา ดังนั้นต้องไม่ให้มีข้อมูลทางลับในการปราบปรามรั่วไหลได้ในทุกด้าน
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า พื้นที่ที่ได้กวาดล้างปราบปรามสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดงมีการปราบปรามได้ผลเป็นที่น่าพอใจ โดยส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ลักลอบขายแผ่นซีดีเถื่อนในย่านแหล่งท่องเที่ยว ในจังหวัดหัวเมืองหลัก รวมถึงกรุงเทพมหานครด้วย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-9 บช.ก. ตำรวจนครบาล และกองปราบปราม เริ่มปราบปรามกวาดล้างแผ่นซีดีละเมิดลิขสิทธิ์อย่างจริงจังตั้งแต่ต้นเดือนม.ค.ที่ผ่านมา โดยจะส่งรายงานผลการปราบปรามถึงตนโดยตรงก่อนเที่ยงของทุกวัน และภายใน 5 วันต้องสรุปผลเสนอให้ทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการทำงานขอไปที โดยจับผู้ค้าซีดีเถื่อนจริงแต่ไม่สืบสวนขยายผลถึงต้นตอผู้ผลิตรายใหญ่ ซึ่งเราต้องการกวาดล้างแหล่งผลิตรายใหญ่ให้หมดสิ้น ไม่ใช่ไล่จับเพียงผู้ค้ารายย่อย ซึ่งหากผู้ค้ารายย่อยถูกจับกุมทางกระทรวงพาณิชย์ก็มีนโยบายสนับสนุนให้ผู้ค้ารายย่อยเปลี่ยนอาชีพ ทำธุรกิจถูกกฎหมาย โดยมีโครงการเรนโบว์โปรเจกต์ที่คอยให้ทุนสนับสนุนอยู่
“ล่าสุดเราก็ไปทลายแหล่งผลิตแผ่นซีดีรายใหญ่สุดเท่าที่เคยจับมาที่จังหวัดนนทบุรี มีเครื่องไรต์แผ่นถึง 49 เพาเวอร์ มีกำลังการผลิตวันละ 210,000 แผ่น คิดเป็นมูลค่าราคาขายส่งสินค้าเถื่อนทั้งแผ่นดีวีดี ซีดี วีซีดี จำนวนกว่า 8 ล้านบาทต่อวัน หรือ 2,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งยึดของกลางได้ทั้งหมด และยังบุกจับแหล่งผลิตที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีด้วย ซึ่งแหล่งผลิตซีดีเถื่อนนี้สามารถทำลายอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ดนตรี และซอฟต์แวร์ ได้มูลค่าวันละ 8 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของเมืองนนท์ หลังจากถูกจับในโรงงานของนายทุนใหญ่ก็หยุดผลิตไว้ชั่วคราว ทำเหมือนกบจำศีล ตนขอร้องให้นายทุนที่อยู่เบื้องหลังซีดีเถื่อนเปลี่ยนใจ อย่าคิดว่าตัวเองดำน้ำอึด อย่าคิดว่ารัฐบาลจะทำงานลูบหน้าปะจมูก หรือแบบไฟไหม้ฟาง เพราะทางเราไม่หยุดปราบปรามคนชั่วแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นใครทั้งตำรวจหรือนายทุนใครก็ตามมีส่วนเกี่ยวเราจะหาแหล่งที่อยู่ให้ใหม่ ถ้าอยากลองของก็เอา ถ้าไม่อยากเป็นตำรวจก็ว่ามาเราจะสนองให้” นายอลงกรณ์ กล่าว
นายอลงกรณ์ กล่าวด้วยว่า ปัญหาดังกล่าวส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ประเทศไทยอย่างร้ายแรง ซึ่งเราเป็นประเทศ 1 ใน 10 ที่ถูกตราหน้าว่าเป็นประเทศขี้โกง มีการล่วงละเมิดสิทธิคนอื่นอย่างไม่มีจริยธรรม ดังนั้น เราไม่ควรปล่อยให้ประเทศถูกตราหน้าจากคนบาปเหล่านี้ไม่ได้อีกต่อไป ซึ่งเราต้องไม่ยอมรับการละเมิดสิทธิคนอื่น ต้องเร่งฟื้นฟูจริยธรรมในเรื่องนี้ด้วย
“อลงกรณ์” ควงตำรวจจับเอง แหล่งปั๊มซีดีเถื่อนรายใหญ่เมืองนนท์
วันนี้ (11 ก.พ.) นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์พิเศษกับเอเอสทีวีผู้จัดการ ถึงข้อมูลนายตำรวจตั้งแต่ระดับนายพลถึงชั้นประทวน จำนวน 41 นาย เกี่ยวข้องกับขบวนการละเมิดลิขสิทธิ์ว่า รายชื่อตำรวจที่พัวพันกับขบวนการดังกล่าวรัฐบาลชุดนี้ไม่ได้ทำแบบไฟไหม้ฟาง ไม่ได้ปราบปรามเพื่อให้เป็นข่าว เป็นไปตามข้อเท็จจริงตามการขยายผลการจับกุม โดยสาวถึงผู้อยู่เบื้องหลังมีทั้งตำรวจในต่างจังหวัด ตำรวจในส่วนกลาง ระดับตั้งแต่ชั้นประทวน ถึงนายพล มีการรับส่วย มีการรับเงินเพื่อช่วยเหลือคดี แม้กระทั้งทำการค้าขายซีดีเถื่อนเอง ซึ่งในการเข้าจู่โจมทลายแหล่งผลิตซีดีเถื่อนที่โรงงานในจังหวัดนนทบุรี มีเจ้าของเป็นนายทุนชื่อ “เสี่ย ก.” และ “เสี่ย ฮ.” โดยบุคคลทั้งสองเป็นผู้ที่อยู่ในแวดวงอยู่เบื้องหลังธุรกิจมืดในการละเมิดลิขสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งก็เป็นที่รู้กันมานานแล้วแต่ไม่มีการจับกุม เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่รัฐคอยเก็บส่วย รับสินบนจากผู้ผลิตรายใหญ่ ส่วนจะมีนักการเมืองอยู่เบื้องหลังอยู่หรือไม่ ตนยังไม่ได้รับรายงาน แต่ได้กำชับเจ้าหน้าที่ด้านปราบปรามสินค้าเถื่อนแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จะเป็นระดับรัฐมนตรี หรือ ส.ส., สมาชิกวุฒิสภา และเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐคนใดเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย ตามระเบียบราชการทางวินัยอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะถ้ามีผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพัวพันด้วยจะยิ่งลงโทษรุนแรงหนักเกิน 2 เท่า
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลให้แน่นหนาทั้งหลักฐานต่างๆ เพื่อเอาผิดกับนายทุนทั้ง 2 คนต่อไป ซึ่งตนเชื่อว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.จะเร่งดำเนินการกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้อย่างเหมาะสม โดยที่ผ่านมาได้พูดคุยกับผบ.ตร.แล้วให้ลงโทษทางวินัยและทางอาญานายตำรวจตั้งแต่ระดับนายพล และที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้เด็ดขาด เนื่องจากหน่วยงานรัฐต้องการเจ้าหน้าที่ทำงานด้านการปราบปรามที่ซื่อสัตย์ ซึ่งกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ร่วมทำงานกับกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีและคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง จึงพบว่าการปราบปรามมีนายตำรวจในพื้นที่ มีทั้งระดับนายพลคอยคุ้มครอง ช่วยเหลือเกือกูลธุรกิจใต้ดินละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งรายชื่อตำรวจ 41 นายที่ได้นำเสนอนายกรัฐมนตรีไปแล้วเป็นรายชื่อที่กรรมใดใครก่อต้องรับกรรม ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่นี้ ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยขัดขวางการปราบปรามธุรกิจอยู่อีก ซึ่งได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาแต่ละสังกัดสอบสวนลงโทษทางวินัยต่อไป ส่วนตัวขอเรียกร้องให้ตำรวจที่อยู่เบื้องหลังธุรกิจใต้ดินกลับตัวกลับใจ ไม่เช่นนั้นจะย้ายที่อยู่ให้
นายอลงกรณ์ กล่าวต่อไปว่า ได้สั่งการให้มีการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีที่มีข้อมูลการปราบปราบ ข้อมูลรายชื่อนายตำรวจผู้ที่เกี่ยวข้องกับวงจรละเมิดลิขสิทธิ์รั่วไหลได้อย่างไร ซึ่งก็ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีแล้วเห็นควรให้เร่งตรวจสอบทั้งกระทรวงพาณิชย์ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากการปราบปรามธุรกิจใต้ดินที่มีอำนาจมืดเกี่ยวข้อง และเรื่องความลับของทางราชการที่สำคัญ เป็นเรื่องที่เปิดเผยไม่ได้ แต่กลับมีข้อมูลรั่วไหลออกมา ดังนั้นต้องไม่ให้มีข้อมูลทางลับในการปราบปรามรั่วไหลได้ในทุกด้าน
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า พื้นที่ที่ได้กวาดล้างปราบปรามสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดงมีการปราบปรามได้ผลเป็นที่น่าพอใจ โดยส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ลักลอบขายแผ่นซีดีเถื่อนในย่านแหล่งท่องเที่ยว ในจังหวัดหัวเมืองหลัก รวมถึงกรุงเทพมหานครด้วย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-9 บช.ก. ตำรวจนครบาล และกองปราบปราม เริ่มปราบปรามกวาดล้างแผ่นซีดีละเมิดลิขสิทธิ์อย่างจริงจังตั้งแต่ต้นเดือนม.ค.ที่ผ่านมา โดยจะส่งรายงานผลการปราบปรามถึงตนโดยตรงก่อนเที่ยงของทุกวัน และภายใน 5 วันต้องสรุปผลเสนอให้ทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการทำงานขอไปที โดยจับผู้ค้าซีดีเถื่อนจริงแต่ไม่สืบสวนขยายผลถึงต้นตอผู้ผลิตรายใหญ่ ซึ่งเราต้องการกวาดล้างแหล่งผลิตรายใหญ่ให้หมดสิ้น ไม่ใช่ไล่จับเพียงผู้ค้ารายย่อย ซึ่งหากผู้ค้ารายย่อยถูกจับกุมทางกระทรวงพาณิชย์ก็มีนโยบายสนับสนุนให้ผู้ค้ารายย่อยเปลี่ยนอาชีพ ทำธุรกิจถูกกฎหมาย โดยมีโครงการเรนโบว์โปรเจกต์ที่คอยให้ทุนสนับสนุนอยู่
“ล่าสุดเราก็ไปทลายแหล่งผลิตแผ่นซีดีรายใหญ่สุดเท่าที่เคยจับมาที่จังหวัดนนทบุรี มีเครื่องไรต์แผ่นถึง 49 เพาเวอร์ มีกำลังการผลิตวันละ 210,000 แผ่น คิดเป็นมูลค่าราคาขายส่งสินค้าเถื่อนทั้งแผ่นดีวีดี ซีดี วีซีดี จำนวนกว่า 8 ล้านบาทต่อวัน หรือ 2,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งยึดของกลางได้ทั้งหมด และยังบุกจับแหล่งผลิตที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีด้วย ซึ่งแหล่งผลิตซีดีเถื่อนนี้สามารถทำลายอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ดนตรี และซอฟต์แวร์ ได้มูลค่าวันละ 8 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของเมืองนนท์ หลังจากถูกจับในโรงงานของนายทุนใหญ่ก็หยุดผลิตไว้ชั่วคราว ทำเหมือนกบจำศีล ตนขอร้องให้นายทุนที่อยู่เบื้องหลังซีดีเถื่อนเปลี่ยนใจ อย่าคิดว่าตัวเองดำน้ำอึด อย่าคิดว่ารัฐบาลจะทำงานลูบหน้าปะจมูก หรือแบบไฟไหม้ฟาง เพราะทางเราไม่หยุดปราบปรามคนชั่วแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นใครทั้งตำรวจหรือนายทุนใครก็ตามมีส่วนเกี่ยวเราจะหาแหล่งที่อยู่ให้ใหม่ ถ้าอยากลองของก็เอา ถ้าไม่อยากเป็นตำรวจก็ว่ามาเราจะสนองให้” นายอลงกรณ์ กล่าว
นายอลงกรณ์ กล่าวด้วยว่า ปัญหาดังกล่าวส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ประเทศไทยอย่างร้ายแรง ซึ่งเราเป็นประเทศ 1 ใน 10 ที่ถูกตราหน้าว่าเป็นประเทศขี้โกง มีการล่วงละเมิดสิทธิคนอื่นอย่างไม่มีจริยธรรม ดังนั้น เราไม่ควรปล่อยให้ประเทศถูกตราหน้าจากคนบาปเหล่านี้ไม่ได้อีกต่อไป ซึ่งเราต้องไม่ยอมรับการละเมิดสิทธิคนอื่น ต้องเร่งฟื้นฟูจริยธรรมในเรื่องนี้ด้วย
“อลงกรณ์” ควงตำรวจจับเอง แหล่งปั๊มซีดีเถื่อนรายใหญ่เมืองนนท์