xs
xsm
sm
md
lg

ลูกชายร้อง ป.แกะรอยคนร้ายซุ่มยิง “ดาบจอมแฉ”

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

 นายกฤษฎา ทองชิต  บุตรชายดาบจอมแฉเข้าร้องกองปราบปราม
บุตรชาย “ด.ต.ชิต ทองชิต” นายดาบตำรวจทางหลวงจอมแฉส่วย เข้าร้องกองปราบปรามให้ช่วยคลี่คลายคดีคนร้ายซุ่มยิงบิดา เชื่อเจ้าหน้าที่รัฐมีเอี่ยว ตำรวจท้องที่ไม่สนใจ คดีไม่คืบ ไม่เก็บหลักฐานหลายสิ่งหลายอย่าง

วันนี้ (6 ก.พ.) เมื่อเวลา 10.30 น.ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายกฤษฎา ทองชิต อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 30 หมู่ 7 ต.ยางหัก อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี บุตรชายของ ด.ต.ชิต ทองชิต อดีตตำรวจทางหลวง เจ้าของฉายาจอมแฉส่วยทางหลวง เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ทวีศักดิ์ เชื่อมสกลรัตน์ พงส.(สบ 2) กก.1 บก.ป.เพื่อขอให้ตำรวจกองปราบปรามร่วมสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงบิดาเสียชีวิตขณะจอดรถเพื่อเก็บไม้ไผ่รวกที่บริเวณไร่ในพื้นที่หมู่ 7 ต.ยางหัก อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี เมื่อวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา

นายกฤษฎา กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุทางตำรวจท้องที่ดำเนินคดีอย่างล่าช้าไม่มีความคืบหน้า อีกทั้งชาวบ้านในพื้นที่ก็ไม่มีความมั่นใจที่จะกล้าให้ข้อมูลเบาะแสของคนร้าย และแม้ตนจะสอบถามไปยังตำรวจภูธรภาค 7 ถึงจุดที่คนร้ายซุ่มยิงบิดาตน ตำรวจกลับยังไม่มีข้อมูลและไม่ทราบจุดที่คนร้ายซุ่มยิง ทำให้ตนไม่มีความมั่นใจต่อการดำเนินการของตำรวจในพื้นที่ จึงว่าจ้างนักสืบเอกชนและผู้ชำนาญการใช้อาวุธปืนติดตามหาเบาะแส และออกเดินไร่ตรวจสอบบริเวณโดยรอบที่เกิดเหตุด้วยกัน จนพบว่าจุดที่คนร้ายน่าจะใช้ซุ่มยิงนั้นห่างไปจากบิดาตนประมาณ 35 เมตร จึงประสานตำรวจภูธรภาค 7 มาเก็บรวบรวมหลักฐานที่พบ

นายกฤษฎา กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ดี จากที่ตนได้สังเกตการทำงานของตำรวจวิทยาการก็พบว่าไม่มีความละเอียดเพียงพอ ไม่มีการฉายรังสีเพื่อหาเขม่าดินปืน ไม่สังเกตร่องรอยต่างๆ ประกอบด้วย 1.รอยเท้าคนร้ายในที่เกิดเหตุ 2.จุดพุ่มไม้ที่ใช้อำพรางตัว 3.กิ่งต้นข่อยที่มีรอยพาดของกระบอกปืน 4.ใบข่อยที่มีรอยฉีกขาด ใบเหี่ยวจากความร้อนของกระบอกปืน และ 5.ต้นไผ่รวกที่ถูกคนร้ายหักเพื่อสะดวกในการยิงปืน แต่ทางตำรวจกลับทำเพียงแค่ใช้สายตลับเมตรวัดจากจุดที่คนร้ายซุ่มยิงถึงบิดาตนและถ่ายรูปไว้เท่านั้น

“หลักฐานต่างๆ ในบริเวณที่เกิดเหตุเสียหายมาก ไม้ไผ่รวกที่คนร้ายหักและมีร่องรอยการจับ เมื่อตำรวจหาร่องรอยนิ้วมือไม่พบก็ทิ้งไว้ข้างทางไม่นำไปเก็บไว้พิสูจน์ตามขั้นตอนอื่นอีก ประกอบกับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตำรวจสันนิษฐานว่าคนร้ายน่าจะทิ้งอาวุธปืนไว้ในบ่อน้ำที่ไร่ จึงนำเครื่องยนต์มาสูบน้ำแต่ด้วยความประมาทเลินเล่อเมื่อสูบน้ำแล้วเจ้าหน้าที่ก็กลับกันหมดไม่อยู่รอ ซึ่งหากคนร้ายทิ้งอาวุธปืนไว้จริง อาจจะย้อนกลับมาเอาอาวุธปืนขณะที่ไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่ก็ได้” นายกฤษฎา กล่าว

นายกฤษฎา กล่าวต่อว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบิดาตนนั้นเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลที่เสียผลประโยชน์และอาจมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องและเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงเข้าร้องทุกข์ให้กองปราบปราม ร่วมสืบสวนคลี่คลายคดีที่เกิดขึ้นอีกทางหนึ่ง
กำลังโหลดความคิดเห็น