ผบช.น.เลี่ยงตอบปมสอบ “ซานติก้า” ระบุ การตั้งคณะทำงานสอบดูเหมือนขัดแย้ง ชี้ “จงรัก” แจงเหมาะสมกว่า ไม่ขัดข้องหากดีเอสไอรับทำเป็นคดีพิเศษ
วันนี้ (3 ก.พ.) เมื่อเวลา 12.30 น.ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น.กล่าวถึงคดีเพลิงไหม้ซานติก้า ผับ ซึ่ง นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ออกมาเปิดเผยหลักฐานเป็นภาพทีวีวงจรปิดของซานติกาผับ ซึ่งภาพแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการสอบสวน และคำให้การของพยานต่อพนักงานสอบสวนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งระบุว่า นักร้องนำวงเบิร์นเป็นผู้จุดไฟแช็กที่หน้ากลองจนเป็นสาเหตุของเพลิงไหม้ แต่ภาพจากกล้องวิดีโอของซานติก้าผับ บ่งชี้ว่า มีลูกไฟเกิดขึ้นหลังจุดเอฟเฟกต์นาน 2.57 นาที โดยเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนนักร้องและนักร้องคนที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาเดินหลบไปข้างเวที อีกทั้งไม่มีภาพนักร้องเป็นผู้จุดพลุตามที่พยานให้การ ว่า คดีที่เกิดขึ้นเป็นคดีใหญ่ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ลงมาคุมเองและตั้งเป็นคณะทำงานดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง มี พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร.เป็นประธานคณะทำงาน บช.น.เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการรวบรวมหลักฐานการสอบสวน ส่วนการชี้แจงข้อเท็จจริงนั้นคงต้องเป็นหน้าที่ของ พล.ต.อ.จงรัก รอง ผบ.ตร.ส่วนๆ แล้วคดีปิดแล้วนั้น แต่หากผลการสอบสวนยังเชื่อมโยงไปถึงใครตำรวจก็ยังจะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
ผบช.น.กล่าวต่อว่า ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวก็ถูกต้อง รวมทั้งกรณีที่แพทย์หญิงคุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ตรวจพบอะไรทางตำรวจก็รับทราบและดำเนินการอยู่ ส่วนทางคดีนั้น หากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะเสนอ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นคดีพิเศษและโอนงานให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ทำก็เป็นอำนาจหน้าที่ของเขา ซึ่งเราก็คงไม่ขัดข้อง เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว นครบาลไม่ขัดข้อง
ผู้สื่อข่าวถามว่า สำหรับเทปหลักฐานที่กระทรวงยุติธรรมนำมาฉายและเก็บไว้เองสามารถทำได้หรือไม่ พล.ต.ท.สุชาติ กล่าวว่า อยู่ที่กระบวนการสอบสวนหรือสืบสวนอย่างไร ในการสืบสวน หากสมมติว่ามีคดีเกิดในนครบาล ทางกองปราบปรามก็มีอำนาจสืบสวน ซึ่งในกระทรวงยุติธรรมหรือดีเอสไอ ก็มีอำนาจสืบสวนได้ แต่ถ้าการสอบสวนต้องเป็นไปตาม ป.วิอาญา มีอำนาจและเขตอำนาจ ถ้าดีเอสไอจะเอาไปทำ ต้องมีการประชุมของคณะกรรมการคดีพิเศษว่าคดีนี้เป็นคดีพิเศษดีเอสไอจะรับไปดำเนินการ จากนั้นเขาก็ถือว่ามีอำนาจหน้าที่ เช่น ถ้าเกิดในนครบาล ตำรวจนครบาลก็ทำเพราะเป็นอำนาจตาม ป.วิอาญา อยู่แล้ว แต่ถ้ากองปราบปรามจะรับไปทำ ก็ต้องอยู่ที่ว่าจะขอทำฝ่ายเดียวหรือขอร่วมทำ ซึ่งกระบวนการนั้นก็ต้องแสวงหาอำนาจ คือขออนุมัติจาก ตร.ว่า จะเข้ามาสอบสวนแต่ฝ่ายเดียวหรือร่วมกันสอบสวน ซึ่งเขตอำนาจกองปราบทั่วราชอาณาจักรเขามีแต่เขาก็ยังไม่มีหน้าที่ ยกเว้นได้รับอนุมัติเสียก่อน แต่ถ้าเป็นการสืบสวนไม่มีปัญหา สามารถดำเนินการได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตำรวจรู้มาก่อนหรือไม่ว่ามีเทปดังกล่าวอยู่ พล.ต.ท.สุชาติ กล่าวว่า ต้องถามพนักงานสอบสวน เพราะว่าส่วนหนึ่ง ตร.เข้ามาดำเนินการ เพราะเป็นรูปการตั้งคณะทำงาน ตนพูดไปเดี๋ยวจะไม่ตรง รายละเอียดในการสอบ สำนวนการสอบสวนเป็นอย่างไร และอาจจะดูเหมือนขัดแย้งกันอยู่ คงต้องให้หัวหน้าพนักงานสอบสวนที่ควบคุมเป็นคนชี้แจงจะเหมาะสมกว่า
วันนี้ (3 ก.พ.) เมื่อเวลา 12.30 น.ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น.กล่าวถึงคดีเพลิงไหม้ซานติก้า ผับ ซึ่ง นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ออกมาเปิดเผยหลักฐานเป็นภาพทีวีวงจรปิดของซานติกาผับ ซึ่งภาพแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการสอบสวน และคำให้การของพยานต่อพนักงานสอบสวนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งระบุว่า นักร้องนำวงเบิร์นเป็นผู้จุดไฟแช็กที่หน้ากลองจนเป็นสาเหตุของเพลิงไหม้ แต่ภาพจากกล้องวิดีโอของซานติก้าผับ บ่งชี้ว่า มีลูกไฟเกิดขึ้นหลังจุดเอฟเฟกต์นาน 2.57 นาที โดยเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนนักร้องและนักร้องคนที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาเดินหลบไปข้างเวที อีกทั้งไม่มีภาพนักร้องเป็นผู้จุดพลุตามที่พยานให้การ ว่า คดีที่เกิดขึ้นเป็นคดีใหญ่ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ลงมาคุมเองและตั้งเป็นคณะทำงานดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง มี พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร.เป็นประธานคณะทำงาน บช.น.เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการรวบรวมหลักฐานการสอบสวน ส่วนการชี้แจงข้อเท็จจริงนั้นคงต้องเป็นหน้าที่ของ พล.ต.อ.จงรัก รอง ผบ.ตร.ส่วนๆ แล้วคดีปิดแล้วนั้น แต่หากผลการสอบสวนยังเชื่อมโยงไปถึงใครตำรวจก็ยังจะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
ผบช.น.กล่าวต่อว่า ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวก็ถูกต้อง รวมทั้งกรณีที่แพทย์หญิงคุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ตรวจพบอะไรทางตำรวจก็รับทราบและดำเนินการอยู่ ส่วนทางคดีนั้น หากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะเสนอ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นคดีพิเศษและโอนงานให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ทำก็เป็นอำนาจหน้าที่ของเขา ซึ่งเราก็คงไม่ขัดข้อง เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว นครบาลไม่ขัดข้อง
ผู้สื่อข่าวถามว่า สำหรับเทปหลักฐานที่กระทรวงยุติธรรมนำมาฉายและเก็บไว้เองสามารถทำได้หรือไม่ พล.ต.ท.สุชาติ กล่าวว่า อยู่ที่กระบวนการสอบสวนหรือสืบสวนอย่างไร ในการสืบสวน หากสมมติว่ามีคดีเกิดในนครบาล ทางกองปราบปรามก็มีอำนาจสืบสวน ซึ่งในกระทรวงยุติธรรมหรือดีเอสไอ ก็มีอำนาจสืบสวนได้ แต่ถ้าการสอบสวนต้องเป็นไปตาม ป.วิอาญา มีอำนาจและเขตอำนาจ ถ้าดีเอสไอจะเอาไปทำ ต้องมีการประชุมของคณะกรรมการคดีพิเศษว่าคดีนี้เป็นคดีพิเศษดีเอสไอจะรับไปดำเนินการ จากนั้นเขาก็ถือว่ามีอำนาจหน้าที่ เช่น ถ้าเกิดในนครบาล ตำรวจนครบาลก็ทำเพราะเป็นอำนาจตาม ป.วิอาญา อยู่แล้ว แต่ถ้ากองปราบปรามจะรับไปทำ ก็ต้องอยู่ที่ว่าจะขอทำฝ่ายเดียวหรือขอร่วมทำ ซึ่งกระบวนการนั้นก็ต้องแสวงหาอำนาจ คือขออนุมัติจาก ตร.ว่า จะเข้ามาสอบสวนแต่ฝ่ายเดียวหรือร่วมกันสอบสวน ซึ่งเขตอำนาจกองปราบทั่วราชอาณาจักรเขามีแต่เขาก็ยังไม่มีหน้าที่ ยกเว้นได้รับอนุมัติเสียก่อน แต่ถ้าเป็นการสืบสวนไม่มีปัญหา สามารถดำเนินการได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตำรวจรู้มาก่อนหรือไม่ว่ามีเทปดังกล่าวอยู่ พล.ต.ท.สุชาติ กล่าวว่า ต้องถามพนักงานสอบสวน เพราะว่าส่วนหนึ่ง ตร.เข้ามาดำเนินการ เพราะเป็นรูปการตั้งคณะทำงาน ตนพูดไปเดี๋ยวจะไม่ตรง รายละเอียดในการสอบ สำนวนการสอบสวนเป็นอย่างไร และอาจจะดูเหมือนขัดแย้งกันอยู่ คงต้องให้หัวหน้าพนักงานสอบสวนที่ควบคุมเป็นคนชี้แจงจะเหมาะสมกว่า