ไฟไหม้รง.เย็บผ้าส่งนอก ย่านบางคอแหลมวอด ตึกถล่ม ! กลางงานเลี้ยงปีใหม่พนักงานนับร้อยหนีตายวุ่น คาดเสียหายหลายร้อยล้านบาท ตร.เตรียมเรียกเจ้าของ สอบหาสาเหตุเช้านี้ ขณะที่ ผอ.เขตบางคอแหลมประกาศเป็นพื้นที่"ภัยพิบัติ"ประกาศให้ปิดกิจการ-รื้อถอนใน 60 วัน
เมื่อเวลา 23.30 น.วันที่ 30 ธ.ค.พ.ต.ท.ฤกษณะ จันทร์ประเสริฐ สารวัตรเวรสอบสวน สน.วัดพยาไกร รับแจ้งเกิดเหตุไฟไหม้โรงงานเย็บผ้าส่งออกต่างประเทศ ภายในซอยเจริญกรุง 85 แยกซอยสุดประเสิรฐ 4 แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กทม.จึงประสานเจ้าหน้าที่รถดับเพลิงแล้วรุดไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์สูง 7 ชั้น ที่ตั้งของโรงงานเย็บเสื้อผ้าส่งออกบริษัทเพรสซิเด้นท์นิตติ้ง แอ็นด์การ์เม้นท์ จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 817 เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ พบว่าไฟกำลังลุกไหม้อย่างรุนแรงและลามไปทุกชั้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากมีผ้าเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี เจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้เร่งระดมน้ำจากรถดับเพลิงกว่า 20 คันเข้าใส่เพื่อควบคุมเพลิงแต่ก็ไม่เป็นผล เปลวไฟยังคงลุกโชนอย่างต่อเนื่อง และได้ลุกลามไปยังอาคารด้านหน้าที่เพิ่งมีการต่อเติมขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในอาคาร 7 ชั้น เป็นโกดังเก็บเสื้อผ้า จึงเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีในการติดไฟ แม้เวลาจะผ่านไปแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ ขณะเดียวกันก็ได้มีการประสานให้นำรถดับเพลิงบริเวณใกล้เคียงมาช่วยเสริมอีกจำนวนมาก ท่ามกลางไฟที่ยังไหม้โหมลุกลามไปทั้งตัวอาคาร ต่อมาเวลาประมา 03.30 น.โครงเหล็กเต็นท์ผ้าใบก็ได้ล้มลงมาทำให้มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย 1 ราย กระทั่งเวลาประมาณ 03.45 น.เจ้าหน้าที่ได้ระดมฉีดน้ำเข้าใส่จนสามารถความคุมเพลิงไว้ได้ เหลือเพียงเปลวควันที่พวยพุ่งขึ้นมา แต่หลังจากนั้นประมาณ 15 นาที ไฟก็ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งที่อาคารหลังแรก เจ้าหน้าที่ต้องรีบระดมฉีดน้ำเข้าใส่อีกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ ขณะที่ผนังพื้นภายในอาคารได้ร่วงลงมาตั้งแต่ชั้น 7 ลงมากองบริเวณชั้นล่างจนเห็นโครงเหล็กของอาคาร นอกจากนี้ผนังด้านหลังอาคารก็ได้ร่วงลงมาเป็นระยะ ๆ ทำให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงบาดเจ็บเล็กน้อย 3 ราย
ต่อมา เวลา 04.25 น.ไฟได้ลุกไหม้อย่างรุนแรงอีกครั้งทั้ง 2 อาคาร พร้อม ๆ ผนังปูนในอาคารก็ได้ร่วงลงมาเป็นระยะ ๆ พร้อมกับถุงผ้าขนาดใหญ่จำนวนมาก โดยเจ้าหน้าที่ยังคงฉีดน้ำเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง แต่ก็เริ่มหยุดฉีดน้ำเนื่องจากยังมีผ้าจำนวนมากอยู่ในอาคารเพราะหากยังฉีดน้ำก็ยังไม่สามารถควบคุมได้ จึงทำเพียงฉีดน้ำเลี้ยงไม่ให้ไฟลุกลามเท่านั้น
จากการสอบปากคำพนักงานบริษัทในเบื้องต้นทราบว่า เวลาประมาณ 18.00 น.ทางบริษัทได้จัดงานเลี้ยงปีใหม่ให้กับบรรดาพนักงานบริเวณด้านหน้าอาคารดังกล่าว กระทั่ง เวลาประมาณ 23.20 น.ขณะที่งานเลี้ยงกำลังจะเลิก ก็ได้ยินเสียงดังตูมออกมาจากอาคารสูง 7 ชั้น จำนวน 2 ครั้งจากนั้นก็มีเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจากชั้น 3 เมื่อมองขึ้นไปก็พบว่าไฟไหม้ลุกท่วม คนงานชายพยายามจะขึ้นไปดับไฟ แต่เมื่อจะเดินขึ้นไปก็พบว่าไฟได้ลุกไหม้ลามไปยังชั้นอื่น ๆ แล้ว
พนักงานผู้เห็นเหตุการณ์ กล่าวด้วยว่า บริษัทดังกล่าวประกอบกิจการเย็บเสื้อผ้าส่งออกต่างประเทศ มีนายง่า แซ่เล้า อายุ 50 ปี เป็นเจ้าของ เปิดมาหลายสิบปีแล้ว ทราบว่าโรงงานดังกล่าวมี 2 โรงงาน สำหรับโรงงานที่เกิดเพลิงไห้มีพนักงานทั้งหมดกว่า 200 คน เมื่อเกิดเพลิงไหม้ขึ้นมาก็รู้สึกกลัวว่าบริษัทจะเจ๊งและพนักงานจะต้องออกกันเป็นจำนวนมาก
ด้านนายวันชัย ถนอมศักดิ์ ผอ.เขตบางคอแหลมที่เดินทางมาอำนวยการควบคุมเพลิง กล่าวว่า การควบคุมเพลิงครั้งนี้ต้องใช้รถดับเพลิงประมาณ 100 คัน เนื่องจากเป็นโรงงานขนาดใหญ่ภายในอาคาร 7 ชั้นและ 4 ชั้น โดยเก็บผ้าเต็มทุกชั้น มีคนงานประมาณ 100 คน จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดไฟไหม้ทางบริษัทได้จัดงานเลี้ยงปีใหม่ ก็เห็นไฟลุกไหม้ที่ชั้น 3 พนักงานชายจึงช่วยกันใช้ถังดับเพลิงฉีดเข้าใส่แต่ก็ควบคุมไม่ได้ จึงรีบแจ้งหน่วยดับเพลิงบางคอแหลม แต่เมื่อไปถึงก็พบว่าไฟไหม้ลุกลามเร็วมาก จึงสั่งให้พนักงานออกจากอาคารทั้งหมด จากนั้นจึงเข้าสำรวจก็พบว่าไฟไหม้ลุกลามจากอาคาร 4 ชั้นไปยังอาคาร 7 ชั้นแล้วลุกลามไปยังโกดังที่ตั้งอยู่ติดกัน
นายวันชัย กล่าวอีกว่า เจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้ใช้เวลาระดมฉีดน้ำตั้งแต่ห้าทุ่มเศษจนถึงตีห้าจึงสามารถควบคุมเอาไว้ได้ในวงจำกัด ไม่ให้ลุกลามไปยังชุมชนที่ตั้งอยู่ใกล้เคียง และเวลาประมาณ 04.00 น.ก็พบอาคารที่ถูกไฟไหม้มีอาการโกร่งตัวจึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ออกมา แต่ก็ยังมีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 3-4 ราย อย่างไรก็ตาม ในวันนี้(31 ธ.ค.)จะประกาศให้เป็นพื้นที่ "ภัยพิบัติ"พร้อมกับสั่งปิดและให้รื้อถอนภายใน 60 วัน ส่วนมูลค่าความเสียหายคาดว่ามีเป็นจำนวนมาก
ขณะที่ พ.ต.ท.ฤกษณะกล่าวว่าขณะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนว่าต้นเพลิงเกิดจากอะไร ส่วนมูลค่าความเสียหายคาดว่าหลายล้านบาท อย่างไรก็ตามวันนี้(31 ธ.ค.)จะให้เจ้าหน้าที่นำเชือกมากั้นเป็นเขตพื้นที่อันตราย และจะประสานให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบสาเหตุที่ชัดเจนอีกครั้ง ก่อนจะเรียกเจ้าของบริษัทมาสอบปากคำถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไป