“วีระ สมความคิด” แจ้งตำรวจจับ “เสธ.แดง” ข้อหา อั้งยี่ ซ่องโจร คุกคามพันธมิตรฯ ในความผิดหลายมาตรา โดยหลังการให้สัมภาษณ์ของ เสธ.แดง ทุกครั้ง มักเกิดระเบิด และการ์ดพันธมิตรฯถูกทำร้ายเสมอ
วันนี้ (17 พ.ย.) เมื่อเวลา 14.00 น.ที่ สน.นางเลิ้ง นายวีระ สมความคิด ประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ภูเบศ เส้นขาว รอง ผกก.สส.สน.นางเลิ้ง เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ พล.ต.ขัตติยะ หรือ เสธ.แดง สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209, 210, 211, 212, 213, 215, 221, 222 และ 309 โดยนำเอกสารสำเนาภาพข่าวจากเว็บไซต์ต่างๆ มามอบไว้เป็นหลักฐานด้วย
นายวีระ เปิดเผยว่า ที่เดินทางมาแจ้งความในวันนี้ ก็เนื่องจาก พล.ต.ขัตติยะ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนข่มขู่กลุ่มพันธมิตรฯ หลายครั้งตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย.เป็นต้นมา และทุกครั้งหลังจากให้สัมภาษณ์ ก็จะมีเหตุระเบิดเกิดขึ้นกับกลุ่มพันธมิตรฯ หรือผู้มาชุมนุมถูกทำร้ายร่างกายโดยกลุ่มนักรบพระเจ้าตากที่ พล.ต.ขัตติยะ เป็นคนฝึกด้วยตัวเอง และเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว
“ล่าสุด พล.ต.ขัตติยะ ยังออกมาให้สัมภาษณ์ในเชิงข่มขู่ด้วยว่า หากกลุ่มพันธมิตรฯ ยังไม่ออกจากทำเนียบฯ ภายในวันที่ 19 พ.ย.จะเจออาวุธหนักและมีระเบิดอีกแน่นอน และยังขู่ด้วยว่า หากเจ้าตัวได้ทำงานให้กับ กอ.รมน.ก็จะใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงจัดการกับกลุ่มพันธมิตรฯ ให้เสร็จสิ้นภายใน 3 วัน และจับ 5 แกนนำผูกห้อยกับเฮลิคอปเตอร์ไปสอบสวนที่เกาะตะรุเตา เป็นเวลา 6 เดือน” นายวีระ กล่าว
นายวีระ กล่าวต่อว่า การกระทำของ พล.ต.ขัตติยะ จึงเป็นการกระทำผิดในลักษณะเป็นอั้งยี่ซ่องโจร มีการมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คน เพื่อกระทำความผิด มีทั้งการใช้ระเบิดและอาวุธอื่นๆ ทำร้ายผู้ชุมนุม รวมทั้งข่มขู่คุกคามเสรีภาพ ซึ่งตนก็ไม่เข้าใจว่าทุกครั้งที่มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นกับกลุ่มพันธมิตรฯ ทำไมทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีการเชิญตัว พล.ต.ขัตติยะ มาสอบปากคำแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่ พล.ต.ขัตติยะ ออกมาให้สัมภาษณ์อยู่ตลอดเวลาว่าจะใช้ระเบิดจัดการกับกลุ่มผุ้ชุมนุม
“ถึงแม้เรื่องนี้ ทาง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่มีความเกรงกลัวแต่อย่างใด เหมือนเป็นการสอบสวนเพื่อลดแรงกดดันทางสังคมเท่านั้น ผมจึงต้องเดินทางมาแจ้งความกับพนักงานสอบสวน ตามความผิดทั้ง 9 มาตรา เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนที่มาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ” นายวีระ กล่าวย้ำ
ด้าน พ.ต.ท.ภูเบศ กล่าวว่า เบื้องต้นจะรับเรื่องไว้ หลังจากนั้น ก็จะสอบปากคำผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษอย่างละเอียด รวมทั้งตรวจสอบว่ามีพยานหลักฐานเข้าข่ายความผิดข้อหาใดบ้าง จากนั้นก็รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เสนอผู้บังคับบัญชาระดับสูงพิจารณาต่อไป
รายละเอียดหนังสือของ นายวีระ สมความคิด ร้องทุกข์กล่าวโทษ พลตรี ขัตติยะ สวัสดิผล
กลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน
ที่ กพส.050/2551
17 พฤศจิกายน 2551
เรื่อง ขอร้องทุกข์กล่าวโทษพลตรีขัตติยะ สวัสดิผล ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209, 210, 211, 212, 213, 215, 221, 222 และ 309
เรียน พนักงานสอบสวน
ตามที่ พลตรี ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ได้ออกมาให้สัมภาษณ์หลายครั้งต่อสื่อมวลชน และหลายครั้งที่เกิดเหตุการณ์การขว้างระเบิด หรือการก่อการร้ายต่อการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พลตรี ขัตติยะ ก็ปรากฏตัวในที่เกิดเหตุด้วยเกือบทุกครั้ง รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ 1-19 โดยมีข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้
1.การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมครั้งแรก เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 โดยมีการชุมนุมด้วยความสงบ อหิงสา ปราศจากอาวุธ ตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 63, 69, 70, 71 ในระหว่างการชุมนุมจะมีกลุ่ม นปก.หรือ นปช.เข้ามาก่อกวนสร้างความวุ่นวายและก่อให้เกิดความรุนแรงตลอดระยะเวลาของการชุมนุม มีการขว้างระเบิด ยิงปืนใส่กลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บ เกิดความกลัวในการมาชุมนุม เมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 31 สิงหาคม 2551 ได้มีการวางระเบิดใกล้ป้อมตำรวจเชิงสะพานวิศสุกรรมนฤมาน ริมคลองผดุงกรุงเกษม ใกล้กับเวทีพันธมิตรฯ แรงระเบิดทำให้กระจกป้อมและอาคารข้างเคียงแตกกระจายเกลื่อน พลตรี ขัตติยะ หรือ เสธ.แดง รีบมาดูที่เกิดเหตุทันที และระบุว่า เป็นระเบิดทีเอ็นที ห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ซุกใต้คอมเพรสเซอร์
ต่อมาวันที่ 1 ย่างเข้าวันที่ 2 กันยายน 2551 กลุ่ม นปช.ซึ่งชุมนุมที่ท้องสนามหลวงได้เคลื่อนขบวนมายังแยก จปร.ก็สามารถฝ่าด่านของเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาได้อย่างง่ายดาย และตรงเข้ามาทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้งที่กลุ่มพันธมิตรฯอยู่ในที่ตั้ง ทั้งนี้ ฝ่าย นปก.หรือ นปช.ได้ใช้เสียงปืนยิงใส่กลุ่มพันธมิตรฯ และขว้างระเบิด ส่งผลให้กลุ่มผู้ชุมนุมหวาดกลัวและวิ่งหนี จากนั้นกลุ่ม นปช.พร้อมด้วยอาวุธต่างกรูเข้ามาทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก และบริเวณหน้าร้านลิขิตไก่ย่าง ก็มี ส.ส.พรรคพลังประชาชน หลายคน อาทิ นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.นครราชสีมา, นายศุภชัย โพธิ์สุ ส.ส.นครพนม นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม., นายอดิศร เพียงเกษ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย, นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม., พ.ต.ท.สุรทิน พิมานเมฆิน ส.ส.อุดรธานี และ พลตรี ขัตติยะ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ได้ให้การยอมรับว่าเดินทางมากับกลุ่ม นปช.จริง (รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ 2-3)
ต่อมาวันที่ 4 กันยายน 2551 พลตรี ขัตติยะ ขึ้นเวทีปราศรัยของผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมกับอาสานายกรัฐมนตรี (นายสมัคร สุนทรเวช) ดำเนินการกับกลุ่มพันธมิตรฯในการยึดทำเนียบรัฐบาลคืน รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ 4 และทางด้าน พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้ฝากถามไปยัง พลตรี ขัตติยะ ซึ่งกำลังฝึกฝนกลุ่มนักรบพระเจ้าตากให้กลุ่มต่อต้านพันธมิตรฯที่ท้องสนาม ให้ยุติการกระทำเพราะเข้าข่ายความผิดฐานยั่วยุซึ่งกันและกัน (รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ 5-6)
วันที่ 9 กันยายน 2551 พลตรี ขัตติยะ ได้เสนอแผนสลายกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต่อ นายสมัคร สุนทรเวช และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยกล่าวว่า จะใช้แผนมาล้อมทำเนียบไว้หมดทุกด้าน และให้นักรบพ่ออยู่หัว หรือ กลุ่มฮาร์ดคอร์ ของตนเอง ที่จัดตั้งและฝึกไว้ 20 หมวด ราว 1,000 คน มาล้อมไว้ แล้วนำอิฐปูฟุตปาทมาก่อล้อมรอบๆ หลายชั้น แล้วจะเอาปืนไปยิงสายไฟเพื่อตัดไฟทุกจุดในทำเนียบรัฐบาล แล้วนำระเบิด ทีเอ็นที ไปวางในท่อประปาของทำเนียบรัฐบาล และพลตรี ขัตติยะ ได้กล่าวต่ออีกว่า ขอแค่นายกรัฐมนตรีอนุมติมอบให้ผมทำหน้าที่ออกเป็นคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีมาเลยหรือทำแบบเงียบก็ได้ ผมจะจัดการให้ (รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ 7) การเสนอแผนสลายพันธมิตรฯของพลตรี ขัตติยะ เรื่องการใช้ระเบิดทีเอ็นทีไปวางในท่อประปาของทำเนียบรัฐบาลสอดคล้องกับการวางระเบิดที่ป้อมตำรวจริมคลองผดุงกรุงเกษม เมื่อคืนวันที่ 31 สิงหาคม 2551 และยินดีที่จะทำการสลายพันธมิตรทุกรูปแบบและ ให้กระทำแบบเงียบก็ได้แสดงให้เห็นว่า พลตรี ขัตติยะ มีเจตนาที่ต้องการทำลายล้างพันธมิตร ตามเอกสารที่ส่งมาด้วยอันดับ 7 แล้วนั้น
ดังนั้น การกระทำของ พลตรี ขัตติยะ ที่ฝึกกลุ่มนักรบพระเจ้าตากในการผลิตระเบิด อาวุธ เพื่อต่อต้านกลุ่มพันธมิตรฯ และมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209, 210, 211, 212, 213, 215, 221 และ 222
2.วันที่ 7 ตุลาคม 2551 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯบริเวณหน้ารัฐสภา บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า และบริเวณหน้า บช.น.โดยเจ้าที่ตำรวจได้มีการยิงแก๊สน้ำตาจากประเทศจีน และขว้างระเบิดใส่ผู้ชุมนุม มีผู้ชุมนุมขาขาด แขนขาด ตาบอด ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน และได้รับบาดเจ็บจำนวนมากกว่า 500 คน โดย พลตรี ขัตติยะ ได้ให้สัมภาษณ์รายการลับ ลวง พราง ตอนหนึ่งว่า กลุ่มทหารนักรบพระเจ้าตาก ซึ่งเป็นอดีตนายทหารกว่าร้อยคน ยังคงอยู่เพื่ออาสาศึก 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 คือ การไปรับตัวนายกรัฐมนตรี (นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์) ออกจากรัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 และครั้งที่ 2 อาสาสมัครเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานเพื่อปกป้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ 8) เหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 มีการขว้างระเบิดขวดใส่กลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนมาก ซึ่งเป็นระเบิดชนิดเดียวกับที่นักรบพระเจ้าตากผลิตขึ้น หลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า พลตรี ขัตติยะ สวัสดิผล อยู่เบื้องหลังหรือเกี่ยวข้องกับนักรบพระเจ้าตากที่ใช้ระเบิดและอาวุธอื่นๆ ทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯ คือ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2551 เวลา 14.45 น.ขณะที่ พ.ต.ท.สมิง รอดรัตษะ สว.สส.สน.ชนะสงคราม พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.ชนะสงคราม กำลังปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยอยู่ภายในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวงซึ่งกำลังอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก จำนวน 33 ไร่ มูลค่า 772 ล้านบาทอยู่นั้น ก็พบเห็นชายวัยรุ่นคนหนึ่งทราบชื่อต่อมา คือ นายไพรัช ขุนไกร อายุ 17 ปี อยู่บ้านเลขที่ 70 หมู่ 14 ต.ตูมใหญ่ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ เดินสะพายกระเป๋าสีน้ำตาล 1 ใบ ด้วยท่าทางมีพิรุธ อยู่บริเวณหน้าศาลหลักเมือง ถนนหับเผย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร จึงแสดงตัวขอเข้าตรวจค้น ปรากฏว่าในกระเป๋าดังกล่าวมีระเบิดขวดจำนวน 1 ลูก หนังสติ๊กจำนวน 2 อัน ลูกเหล็ก 4 ลูก นอตตัวเมีย จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำที่ สน.ชนะสงคราม จากการสอบปากคำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ นายไพรัชให้การรับสารภาพว่า ก่อนหน้านี้เคยทำงานเป็นช่างเชื่อมอยู่ที่ จ.นนทบุรี จนกระทั่งประมาณ 1 เดือนก่อนได้เข้ามาร่วมฝึกอบรมเป็นนักรบพระเจ้าตากอยู่ที่สนามหลวง โดยมี พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง เป็นคนฝึกอบรมให้ด้วยตัวเอง
3.พลตรี ขัตติยะ ให้สัมภาษณ์ข่มขู่ คุกคามโดยทำให้เกิดความหวาดกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของกลุ่มผู้ชุมนุมและประชาชนผู้มาเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตร อย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2551 กล่าวว่า “น่าจะมีคนจองกฐินเล่นงานพันธมิตรฯหลายกลุ่ม แต่ครั้งนี้น่าจะหนักกว่าทุกครั้ง เพราะเป็นอาวุธ เป็นของจริง มั่นใจว่า น่าจะเป็นระเบิดเอ็ม 67 เป็นลูกเกลี้ยงแบบขว้าง ระยะหวังผล 200-300 เมตร ถ้าเป็นอเมริกันจะลูกใหญ่ อีกรุ่นผลิตให้คนฝั่งเอเชีย ซึ่งให้เหมาะกับกำลังในการขว้างสู่เป้าหมาย ผู้ที่จะใช้ระเบิดประเภทนี้ได้แค่ฝึกฝนวิธีถอดสลัก รู้น้ำหนัก รวมทั้งใจกล้า ก็ทำได้ และกล่าวต่ออีกว่า เชื่อว่า คนที่จองกฐินงานนี้ ต้องงัดอีกหลายหลายวิธีการมาจัดการแน่ ต่อไปก็คงเจอระเบิดเอ็ม 79 หรือ อาร์พีจี ที่ใช้ปืนยิงสู่เป้าหมาย ซึ่งระยะในการยิงได้ระยะทางไกลกว่า 700 เมตร หรือ อาก้า จนจะมีการเผารถที่จอดไว้แถวนั้น เพื่อสร้างความหวาดกลัว และได้กล่าวถึงกลุ่มนักรบพระเจ้าตาก ว่า ในการฝึกฝนนั้น นอกจากฝึกฝนท่าเตรียมอาวุธ ตามพื้นฐานแล้ว ก็มีการขว้างระเบิดด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฝึกที่ท้องสนามหลวงแล้วก็อยากแย่งกันไปปฏิบัติจริง”
นอกจากนี้ พลตรี ขัตติยะ ก็ยังได้ข่มขู่กลุ่มผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง โดยให้ลูกหลานพันธมิตรรีบไปรับตัวพ่อแม่ออกมาจากทำเนียบรัฐบาลให้หมด เพราะขณะนี้พันธมิตรฯเจอสงครามเต็มรูปแบบ และยังกล่าวทิ้งท้ายว่า วันนี้เจอนักรบจริงแล้ว จงรีบกลับบ้านซะก่อนไปวัด (รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ 12-13)
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2551 ได้กล่าวว่า “ครั้งนี้เป็นการใช้อาวุธสงครามครั้งที่ 2 จากพวกที่จองกฐิน ซึ่งการปฏิบัติคงจะเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปน่าจะเป็นระเบิดอาร์พีจี ระยะการยิง 400-500 เมตร ซึ่งเป็นระเบิดสองสถานที่เจาะเกราะด้วยความร้อน และเจาะเกราะรถถัง ขั้นหนักสุด คือ ปืน ค.60 ที่โหดสุดเอาไว้ฆ่ากันในสงคราม ฉะนั้น อยากเตือนว่าขอให้ออกจากทำเนียบรัฐบาลเร็วที่สุด เพราะหากคนที่คิดจะทำ คงใช้อาวุธหนักขึ้นเป็นลำดับ จนอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก และยังได้กล่าวถึงกลุ่มนักรบพระเจ้าตากว่า ส่วนกลุ่มคนพวกนี้จะแปรสภาพไปเป็นแก๊ง 47 โรนิน หรือ ซามูไร สังกัด ...ทั้งนี้ ไม่รู้ว่าแก๊ง 47 โรนิน จะไปตามฆ่าพันธมิตรฯ หรือพวกแกนนำหรือไม่ เพราะคนพวกนี้มีอุดมการณ์ และได้รับการฝึกมาแล้ว”
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2551 พลตรี ขัตติยะ ได้กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรว่า “ครั้งต่อไปน่าจะเป็นการโจมตีที่ร้ายแรงกว่าเดิมด้วยระเบิดอาร์พีจี ซึ่งเป็นอาวุธสังหารกลุ่มนักรบศรีวิชัย โดยกลุ่มทหารพรานจากภาคอีสานที่มีความรักในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกล่าวต่อไปอีกว่า ขอเตือนไปยังกลุ่มนักรบศรีวิชัย ที่ปักหลักในทำเนียบรัฐบาล ให้สลายตัวและกลับบ้านไปได้แล้ว เพราะขณะนี้มีกลุ่มที่จองกฐินนักรบศรีวิชัยไว้หลายกลุ่ม รวมถึงกลุ่มนักรบพระเจ้าตาก ที่ได้สลายเป็นกลุ่ม 47 โรนินด้วย และต่อไปนี้หากเกิดอะไรขึ้นตนจะไม่ขอรับผิดชอบอะไรแล้ว เพราะตนไม่ได้ควบคุมกลุ่มนักรบพระเจ้าตากอีกแล้ว เมื่อเขาฝึกจนครบหลักสูตรเขาก็แยกย้ายไป จากนี้ก็ตัวใครตัวมัน เขาจะทำสงครามกันแล้ว”
การให้สัมภาษณ์ของ พลตรี ขัตติยะ โดยมีลักษณะเป็นตัวการการส่งเสริม ยั่วยุ มีการรวมตัวเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร มีการกระทำอันละเมิดต่อกฎหมายโดยใช้อาวุธสงคราม ระเบิด โดยกลุ่มนักรบพระเจ้าตากที่ได้รับการฝึกฝนจากพลตรี ขัตติยะ ซึ่งตลอดการชุมนุมจะมีการก่อกวนโดยกลุ่ม นปก.หรือ นปช.และเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2551 ก็ได้การมีการขว้างระเบิดใส่เต็นท์นอนนักรบอิสระ 9 ของนักรบศรีวิชัย แรงระเบิดส่งผลให้ นายเมธี อู่ทอง ได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งสอดคล้องกับการกระทำและคำพูดของ พลตรี ขัตติยะ ที่ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการลับ ลวง พราง เตือนไปยังกลุ่มพันธมิตรฯ ขณะนี้ค่ายทหารจะเกิดการทอดกฐินครั้งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะทหารแก่ในศูนย์ทหารม้า ศูนย์การทหารราบ ศูนย์การทหารปืนใหญ่ และศูนย์สงครามพิเศษ กำลังรับบริจาคลูกระเบิดจำนวนมาก เพื่อไปทอดกฐินกลุ่มพันธมิตรฯ จากนี้ไปให้แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯยอมจำนน โดยปราศจากเงื่อนไข ไม่เช่นนั้นคุณจะเจ็บตายทุกวัน
และล่าสุด พลตรี ขัตติยะ ได้ข่มขู่ผู้ที่ชุมนุมให้ออกจากทำเนียบรัฐบาลก่อนวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 โดยพลตรีขัตติยะ ประกาศว่า “จึงขอเตือนเป็นครั้งสุดท้ายว่า หากพันธมิตรฯไม่ออกจากทำเนียบ หลังวันที่ 19 พ.ย.นี้ ต้องมีระเบิดอีกแน่นอน” และยังกล่าวอีกว่า “ผมจะใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงจัดการกับกลุ่มพันธมิตรฯให้เสร็จสิ้นภายใน 3 วัน และ 5 แกนนำพันธมิตรฯต้องหายไป โดยจะใช้กฎหมาย กอ.รมน.ควบคุมตัวเพื่อไปสอบสวนภายใน 6 เดือน ที่เกาะตะรุเตา โดยระหว่างการนำตัวไปสอบสวนก็จะใช้เฮลิคอปเตอร์ผูกห้อยจากเครื่องไปที่เกาะตะรุเตา เพราะที่นั่งเต็ม ดังนั้น เที่ยวนี้พันธมิตรฯตายแน่ ผมขอให้ออกไปก่อนวันที่ 19 พ.ย.นี้ อย่าอยู่ถึงวันที่ 20 พ.ย.อย่ามาเสี่ยงกับ เสธ.แดง และ พล.อ.พัลลภ เพราะเป็นของแท้ ช่วงนั้นออกพรรษา มีคนอยากทอดกฐินเยอะ ที่พูดนี่ผมไม่ได้ขู่ แต่แจ้งเตือน”
ดังนั้น การกระทำของ พลตรี ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ตามข้อ 1-3 จึงเป็นการกระทำอันเกี่ยวกับความผิดกับความสงบสุขของประชาชน อันมีลักษณะเป็นอั้งยี่ ซ่องโจรและมีการมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนเพื่อกระทำความผิด มีการใช้ระเบิดและอาวุธอื่นๆ ทำร้าย และข่มขู่คุกคามสิทธิเสรีภาพและชื่อเสียง โดยทำให้เกิดความกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209, 210, 211, 212, 213, 215, 221, 222 และ 309 ข้าพเจ้าจึงขอร้องทุกข์กล่าวโทษให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีอาญากับ พลตรี ขัตติยะ สวัสดิผล จนถึงที่สุดในทันที เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินและสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่มาร่วมชุมนุม ผลการดำเนินการเป็นประการใด กรุณาแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบโดยเร็วด้วย จักขอบคุณยิ่ง
ขอแสดงความนับถือ
(นายวีระ สมความคิด)
ประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน