“วิศาล ดิลกวณิช” เข้าแจ้งความต่อตำรวจให้ดำเนินคดี “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.แล้ว แฉต่อยหน้า หักศอกใส่กกหูและท้ายทอย จนล้มหัวฟาดพื้น พร้อมกระทืบซ้ำ ระบุให้อภัยหากขอโทษ ยันถูกยั่วยุกวนประสาทก่อน ชี้จะเป็นบทเรียนสำคัญให้รู้ว่าคนจะเป็นผู้ว่าฯ กทม.จะต้องมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ ขณะที่แพทย์ตรวจร่างกาย พบรอยฟกช้ำที่ใบหูซ้าย แก้มซ้าย คาง 2 แผล ใบหูขวา รูหูขวา และด้านในเข่าขวา มีเลือดออกใต้ผิวหนัง
วันนี้ (2 ต.ค.) เมื่อเวลา 15.20 น.ที่ สน.ทองหล่อ นายวิศาล ดิลกวณิช พิธีกรผู้ดำเนินรายการข่าวเที่ยงวันทันเหตุการณ์ ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เดินทางเข้าพบ ร.ต.ต.ทวีศักดิ์ ทองชนะ พนักงานสอบสวน (สบ.1) สน.ทองหล่อ เพื่อแจ้งความให้ดำเนินคดีต่อนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้สมัครผู้ว่าราชการ กทม. ฐานทำร้ายร่างกาย โดยมี พ.ต.ท.วิบูลย์ ถิ่นวัฒนากูล นักงานสอบสวน (สบ.3) ร่วมสอบปากคำด้วย
นายวิศาล กล่าวว่า ในวันนี้ได้นัดนายชูวิทย์ให้มาในรายการข่าวดังกล่าว เนื่องจากได้นัดผู้สมัครคนอื่นมาหมดแล้ว โดยได้เชิญให้มาพูดถึงนโยบายเรื่องปากท้อง และการแก้ปัญหาจราจร ทั้งนี้ ก่อนการเข้ารายการได้พูดคุยกับนายชูวิทย์ก่อนแล้วถึงเรื่องนโยบายว่าจะมีอะไรเด็ดๆ บ้าง แต่ตัวนายชูวิทย์มาในวันนี้พูดเร็ว และพูดแรง บรรยากาศทำให้ดูเหมือนชวนทะเลาะก่อนเข้ารายการแล้ว ซึ่งนายชูวิทย์ กล่าวว่า จะไม่ขอพูดเรื่องนโยบาย แต่จะเข้าไปสะสางปัญหาและตรวจสอบ ตนจึงได้บอกนายชูวิทย์ไปว่า ถ้าไม่พูดเรื่องนโยบายจะเสียเปรียบผู้สมัครคนอื่น แต่ก็ขึ้นอยู่กับนายชูวิทย์เพราะได้ให้โอกาสแล้ว จากนั้นก่อนเข้ารายการประมาณ 2 นาที ทั้งตนและนายชูวิทย์ได้มานั่งที่เก้าอี้เรียบร้อยแล้ว จึงได้สอบถามถึงเรื่องป้ายว่า ทำไมเปลี่ยนป้ายจากเดิม ที่เป็นภาพถือกล้องส่องทางไกล และทำหน้าตาคิ้วขมวดพร้อมข้อความว่า “มีปัญหาที่ไหน ผมจะไปที่นั่น” นั้น กลับเปลี่ยนมาเป็นดูสุขุมขึ้น ซึ่งนายชูวิทย์ ตอบว่า ที่เปลี่ยนเพราะต้องการปรับภาพลักษณ์สู้กับนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์
นายวิศาล กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นเมื่อถึงเวลาเข้ารายการจริง จึงสอบถามเรื่องที่เมื่อเช้าวันนี้ที่ผ่านมาที่นายชูวิทย์ไปยื่นหนังสือให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ตรวจสอบเรื่องรถดับเพลิงว่า ทำไมก่อนหน้านี้นายชูวิทย์ไม่ไปยื่น แต่ไปยื่นในตอนนี้ จะเป็นการดิสเครดิตนายอภิรักษ์หรือไม่ นายชูวิทย์ตอบแบบมีอารมณ์และพูดเร็ว ทำให้ต้องคอยเบรก นอกจากนี้ บางเรื่องก็ต้องระวังการที่นายชูวิทย์พาดพิงคนอื่น เพราะก่อนหน้านี้ที่สัมภาษณ์ผู้สมัครมา 3 คน มีนายอภิรักษ์ ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ และนายประภัสร์ จงสงวน ก็ไม่มีใครพูดพาดพิงคนอื่นให้เสียหาย แต่พูดถึงนโยบายของตนเองเท่านั้น ซึ่งตนพยายามควบคุมไม่ให้ไปพาดพิงบุคคลอื่น หากไปเข้าข่ายกฎหมายของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็อาจจะโดนตรวจสอบได้
นอกจากนี้ ก่อนเข้ารายการ นายชูวิทย์บอกแล้วว่าจะไม่พูดเรื่องนโยบาย แต่ตอนสัมภาษณ์จริง นายชูวิทย์เปลี่ยนใจใหม่จะพูดเรื่องนโยบาย ตนก็ให้โอกาสชี้แจง แต่ก็ไม่ยอมชี้แจง เวลาตอบก็ตอบเหมือนชวนหาเรื่อง ชวนทะเลาะ และตอบยอกย้อนกวนประสาท เมื่อถึงตอนท้าายรายการ ตนได้ถามเรื่องป้ายหาเสียงเช่นเดิมว่าทำไมถึงเปลี่ยน แต่นายชูวิทย์ก็ย้อนอีก ไม่ยอมตอบคำถาม ตนก็เลยถามว่า ทำไมตอนแรกบอกว่าที่ปรับก็ปรับเพื่อสู้ ทำไมตอนนี้มาตอบอีกอย่าง และนายชูวิทย์ก็ถามกลับมาว่า ทำไมจึงนำเรื่องหลังรายการมาคุย ตนก็เลยถามว่า คุณชูวิทย์ หน้ากล้องกับหลังกล้องเป็นคนเดียวกันหรือไม่ ซึ่งตนไม่ได้ตกลงอะไรกันก่อน ถามเรื่องป้ายก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ทำไมจึงมาระเบิดอารมณ์ จนกระทั่งทางทีมงานบอกว่าเลยเวลาออกอากาศของรายการอื่นไปแล้ว ตนจึงลารายการ และเดินไปหลังกล้องจะเข้าสตูดิโอ
“หลังจากที่นายชูวิทย์ถอดไมค์ ผมเดินไปทางหลังกล้อง และพอผมหันกลับมาก็เห็นนายชูวิทย์ตรงปี่เข้ามาต่อยที่ใบหน้า จากนั้นก็ใช้ศอกกระแทกเข้ากกหู และท้ายทอยจนผมล้มลง หัวฟาดฟื้น หูขวาไปกระแทกกับพื้น แต่นายชูวิทย์ยังไม่หยุด ยังกระทืบเข้ากลางหลัง และที่ขาซ้ำอีก จากนั้นทางทีมงานของทั้ง 2 ฝ่ายก็มาแยกออกจากกันไม่ให้เกิดการปะทะ ซึ่งผมไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะผมไม่ใช่คนป่าเถื่อน ไม่ใช้กำลัง เนื่องจากนิสัยแบบนี้เป็นนิสัยของนักเลง อันธพาล ผมมีการศึกษา ผมไม่ทำ” นายวิศาล กล่าว
ผู้ดำเนินรายการผู้นี้ กล่าวต่อว่า หลังจากเกิดเหตุขึ้นจึงได้เดินทางไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลสมิติเวช และเดินทางมาแจ้งความเพื่อให้ดำเนินคดีทางอาญา และถ้าเป็นไปได้ก็อาจจะดำเนินการฟ้องแพ่งในภายหลัง ทั้งนี้ ทางฝ่ายข่าว ทางบรรณาธิการข่าวได้ดูแลอย่างเต็มที่ และให้มาแจ้งความดำเนินคดีอาญา ซึ่งยอมความไม่ได้ แต่ถ้านายชูวิทย์มาขอโทษก็ยินดีจะให้อภัย เพราะตนไม่ใช่คนผูกใจเจ็บกับใคร แต่เรื่องทางกฎหมายก็ต้องปล่อยให้ดำเนินต่อไป
“เรื่องนี้เป็นบทเรียนให้นายชูวิทย์รู้ว่า คนจะเป็นผู้ว่าฯ กทม.ต้องมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ คนอื่น สู้กันด้วยความรู้ เนื้อหา ปัญญา และประเด็น คุณชูวิทย์ต้องถามตัวเองดูว่าสู้ด้วยอะไร ครั้งนี้ เป็นการสัมภาษณ์ครั้งแรก ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเจอกันมาก่อน ไม่เคยรู้จัก หรือเป็นเพื่อนกันมาก่อน ไม่เคยมีเรื่องกันมาก่อน ก็เป็นหน้าที่ของสื่อมวลชนที่ต้องให้โอกาสผู้สมัครทุกคนได้พูดนโยบาย ก่อนหน้านี้ผมไม่ทราบว่านายชูวิทย์ไปหัวเสียจากเรื่องอะไรมาก่อนหรือเปล่า เวลาผมพูดก็พูดไปเบาๆ แต่นายชูวิทย์ก็พูดจาแรงๆ กระแทกกลับมา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังเกิดเหตุทางทีมงานนายชูวิทย์มายกมือไหว้ขอโทษว่า คุณชูวิทย์ผิด รวมทั้งเพื่อนสนิทของนายชูวิทย์ที่มาช่วยหาเสียงก็ยังบอกว่า เรื่องนี้ชูวิทย์ผิดเต็มๆ” นายวิศาลกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่นายวิศาลเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนที่ สน.ทองหล่อ นั้น ปรากฏร่างนางลีน่า จังจรรจา ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.อีกคน เดินทางมายัง สน.พร้อมเรียกร้องให้นายชูวิทย์ออกมาขอโทษ และชดใช้ค่าเสียหาย และเดินทางมาโรงพักเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาด้วย
ด้าน ร.ต.ต.ทวีศักดิ์ ร้อยเวรเจ้าของคดี กล่าวว่า หลังรับแจ้งความแล้ว ตำรวจจะลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นจะตรวจสอบดูว่าผลการตรวจร่างกายจากแพทย์ ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บมากน้อยแค่ไหน จากนั้นจะนำพยานที่เกี่ยวข้องที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดมาสอบปากคำ ก่อนจะรวบรวมพยานหลักฐาน ออกหมายเรียกให้นายชูวิทย์มารับทราบข้อกล่าวหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 1,000 บาท โดยเป็นคดีลหุโทษ ถ้าผู้เสียหายยินยอมให้เสียค่าปรับ เรื่องก็จบกันไป
ก่อนหน้านี้ ที่โรงพยาบาลสมิติเวช นพ.ธีรพร ชัยจินดา อายุรแพทย์ระบบประสาท ผู้ตรวจร่างกาย นายวิศาล กล่าวว่า หลังตรวจร่างกายนายวิศาลอย่างละเอียดแล้ว พบว่ามีรอยฟกช้ำที่ใบหูซ้าย แก้มซ้าย คาง 2 แผล ใบหูขวา รูหูขวา และด้านในเข่าขวา มีเลือดออกใต้ผิวหนัง
ชมคลิปวิดีโอรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ 2 ต.ค. 2551
“ชูวิทย์” ฟิวส์ขาด! ชก “วิศาล” คว่ำหลังสัมภาษณ์สด!!
วันนี้ (2 ต.ค.) เมื่อเวลา 15.20 น.ที่ สน.ทองหล่อ นายวิศาล ดิลกวณิช พิธีกรผู้ดำเนินรายการข่าวเที่ยงวันทันเหตุการณ์ ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เดินทางเข้าพบ ร.ต.ต.ทวีศักดิ์ ทองชนะ พนักงานสอบสวน (สบ.1) สน.ทองหล่อ เพื่อแจ้งความให้ดำเนินคดีต่อนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้สมัครผู้ว่าราชการ กทม. ฐานทำร้ายร่างกาย โดยมี พ.ต.ท.วิบูลย์ ถิ่นวัฒนากูล นักงานสอบสวน (สบ.3) ร่วมสอบปากคำด้วย
นายวิศาล กล่าวว่า ในวันนี้ได้นัดนายชูวิทย์ให้มาในรายการข่าวดังกล่าว เนื่องจากได้นัดผู้สมัครคนอื่นมาหมดแล้ว โดยได้เชิญให้มาพูดถึงนโยบายเรื่องปากท้อง และการแก้ปัญหาจราจร ทั้งนี้ ก่อนการเข้ารายการได้พูดคุยกับนายชูวิทย์ก่อนแล้วถึงเรื่องนโยบายว่าจะมีอะไรเด็ดๆ บ้าง แต่ตัวนายชูวิทย์มาในวันนี้พูดเร็ว และพูดแรง บรรยากาศทำให้ดูเหมือนชวนทะเลาะก่อนเข้ารายการแล้ว ซึ่งนายชูวิทย์ กล่าวว่า จะไม่ขอพูดเรื่องนโยบาย แต่จะเข้าไปสะสางปัญหาและตรวจสอบ ตนจึงได้บอกนายชูวิทย์ไปว่า ถ้าไม่พูดเรื่องนโยบายจะเสียเปรียบผู้สมัครคนอื่น แต่ก็ขึ้นอยู่กับนายชูวิทย์เพราะได้ให้โอกาสแล้ว จากนั้นก่อนเข้ารายการประมาณ 2 นาที ทั้งตนและนายชูวิทย์ได้มานั่งที่เก้าอี้เรียบร้อยแล้ว จึงได้สอบถามถึงเรื่องป้ายว่า ทำไมเปลี่ยนป้ายจากเดิม ที่เป็นภาพถือกล้องส่องทางไกล และทำหน้าตาคิ้วขมวดพร้อมข้อความว่า “มีปัญหาที่ไหน ผมจะไปที่นั่น” นั้น กลับเปลี่ยนมาเป็นดูสุขุมขึ้น ซึ่งนายชูวิทย์ ตอบว่า ที่เปลี่ยนเพราะต้องการปรับภาพลักษณ์สู้กับนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์
นายวิศาล กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นเมื่อถึงเวลาเข้ารายการจริง จึงสอบถามเรื่องที่เมื่อเช้าวันนี้ที่ผ่านมาที่นายชูวิทย์ไปยื่นหนังสือให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ตรวจสอบเรื่องรถดับเพลิงว่า ทำไมก่อนหน้านี้นายชูวิทย์ไม่ไปยื่น แต่ไปยื่นในตอนนี้ จะเป็นการดิสเครดิตนายอภิรักษ์หรือไม่ นายชูวิทย์ตอบแบบมีอารมณ์และพูดเร็ว ทำให้ต้องคอยเบรก นอกจากนี้ บางเรื่องก็ต้องระวังการที่นายชูวิทย์พาดพิงคนอื่น เพราะก่อนหน้านี้ที่สัมภาษณ์ผู้สมัครมา 3 คน มีนายอภิรักษ์ ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ และนายประภัสร์ จงสงวน ก็ไม่มีใครพูดพาดพิงคนอื่นให้เสียหาย แต่พูดถึงนโยบายของตนเองเท่านั้น ซึ่งตนพยายามควบคุมไม่ให้ไปพาดพิงบุคคลอื่น หากไปเข้าข่ายกฎหมายของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็อาจจะโดนตรวจสอบได้
นอกจากนี้ ก่อนเข้ารายการ นายชูวิทย์บอกแล้วว่าจะไม่พูดเรื่องนโยบาย แต่ตอนสัมภาษณ์จริง นายชูวิทย์เปลี่ยนใจใหม่จะพูดเรื่องนโยบาย ตนก็ให้โอกาสชี้แจง แต่ก็ไม่ยอมชี้แจง เวลาตอบก็ตอบเหมือนชวนหาเรื่อง ชวนทะเลาะ และตอบยอกย้อนกวนประสาท เมื่อถึงตอนท้าายรายการ ตนได้ถามเรื่องป้ายหาเสียงเช่นเดิมว่าทำไมถึงเปลี่ยน แต่นายชูวิทย์ก็ย้อนอีก ไม่ยอมตอบคำถาม ตนก็เลยถามว่า ทำไมตอนแรกบอกว่าที่ปรับก็ปรับเพื่อสู้ ทำไมตอนนี้มาตอบอีกอย่าง และนายชูวิทย์ก็ถามกลับมาว่า ทำไมจึงนำเรื่องหลังรายการมาคุย ตนก็เลยถามว่า คุณชูวิทย์ หน้ากล้องกับหลังกล้องเป็นคนเดียวกันหรือไม่ ซึ่งตนไม่ได้ตกลงอะไรกันก่อน ถามเรื่องป้ายก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ทำไมจึงมาระเบิดอารมณ์ จนกระทั่งทางทีมงานบอกว่าเลยเวลาออกอากาศของรายการอื่นไปแล้ว ตนจึงลารายการ และเดินไปหลังกล้องจะเข้าสตูดิโอ
“หลังจากที่นายชูวิทย์ถอดไมค์ ผมเดินไปทางหลังกล้อง และพอผมหันกลับมาก็เห็นนายชูวิทย์ตรงปี่เข้ามาต่อยที่ใบหน้า จากนั้นก็ใช้ศอกกระแทกเข้ากกหู และท้ายทอยจนผมล้มลง หัวฟาดฟื้น หูขวาไปกระแทกกับพื้น แต่นายชูวิทย์ยังไม่หยุด ยังกระทืบเข้ากลางหลัง และที่ขาซ้ำอีก จากนั้นทางทีมงานของทั้ง 2 ฝ่ายก็มาแยกออกจากกันไม่ให้เกิดการปะทะ ซึ่งผมไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะผมไม่ใช่คนป่าเถื่อน ไม่ใช้กำลัง เนื่องจากนิสัยแบบนี้เป็นนิสัยของนักเลง อันธพาล ผมมีการศึกษา ผมไม่ทำ” นายวิศาล กล่าว
ผู้ดำเนินรายการผู้นี้ กล่าวต่อว่า หลังจากเกิดเหตุขึ้นจึงได้เดินทางไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลสมิติเวช และเดินทางมาแจ้งความเพื่อให้ดำเนินคดีทางอาญา และถ้าเป็นไปได้ก็อาจจะดำเนินการฟ้องแพ่งในภายหลัง ทั้งนี้ ทางฝ่ายข่าว ทางบรรณาธิการข่าวได้ดูแลอย่างเต็มที่ และให้มาแจ้งความดำเนินคดีอาญา ซึ่งยอมความไม่ได้ แต่ถ้านายชูวิทย์มาขอโทษก็ยินดีจะให้อภัย เพราะตนไม่ใช่คนผูกใจเจ็บกับใคร แต่เรื่องทางกฎหมายก็ต้องปล่อยให้ดำเนินต่อไป
“เรื่องนี้เป็นบทเรียนให้นายชูวิทย์รู้ว่า คนจะเป็นผู้ว่าฯ กทม.ต้องมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ คนอื่น สู้กันด้วยความรู้ เนื้อหา ปัญญา และประเด็น คุณชูวิทย์ต้องถามตัวเองดูว่าสู้ด้วยอะไร ครั้งนี้ เป็นการสัมภาษณ์ครั้งแรก ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเจอกันมาก่อน ไม่เคยรู้จัก หรือเป็นเพื่อนกันมาก่อน ไม่เคยมีเรื่องกันมาก่อน ก็เป็นหน้าที่ของสื่อมวลชนที่ต้องให้โอกาสผู้สมัครทุกคนได้พูดนโยบาย ก่อนหน้านี้ผมไม่ทราบว่านายชูวิทย์ไปหัวเสียจากเรื่องอะไรมาก่อนหรือเปล่า เวลาผมพูดก็พูดไปเบาๆ แต่นายชูวิทย์ก็พูดจาแรงๆ กระแทกกลับมา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังเกิดเหตุทางทีมงานนายชูวิทย์มายกมือไหว้ขอโทษว่า คุณชูวิทย์ผิด รวมทั้งเพื่อนสนิทของนายชูวิทย์ที่มาช่วยหาเสียงก็ยังบอกว่า เรื่องนี้ชูวิทย์ผิดเต็มๆ” นายวิศาลกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่นายวิศาลเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนที่ สน.ทองหล่อ นั้น ปรากฏร่างนางลีน่า จังจรรจา ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.อีกคน เดินทางมายัง สน.พร้อมเรียกร้องให้นายชูวิทย์ออกมาขอโทษ และชดใช้ค่าเสียหาย และเดินทางมาโรงพักเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาด้วย
ด้าน ร.ต.ต.ทวีศักดิ์ ร้อยเวรเจ้าของคดี กล่าวว่า หลังรับแจ้งความแล้ว ตำรวจจะลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นจะตรวจสอบดูว่าผลการตรวจร่างกายจากแพทย์ ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บมากน้อยแค่ไหน จากนั้นจะนำพยานที่เกี่ยวข้องที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดมาสอบปากคำ ก่อนจะรวบรวมพยานหลักฐาน ออกหมายเรียกให้นายชูวิทย์มารับทราบข้อกล่าวหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 1,000 บาท โดยเป็นคดีลหุโทษ ถ้าผู้เสียหายยินยอมให้เสียค่าปรับ เรื่องก็จบกันไป
ก่อนหน้านี้ ที่โรงพยาบาลสมิติเวช นพ.ธีรพร ชัยจินดา อายุรแพทย์ระบบประสาท ผู้ตรวจร่างกาย นายวิศาล กล่าวว่า หลังตรวจร่างกายนายวิศาลอย่างละเอียดแล้ว พบว่ามีรอยฟกช้ำที่ใบหูซ้าย แก้มซ้าย คาง 2 แผล ใบหูขวา รูหูขวา และด้านในเข่าขวา มีเลือดออกใต้ผิวหนัง
ชมคลิปวิดีโอรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ 2 ต.ค. 2551
“ชูวิทย์” ฟิวส์ขาด! ชก “วิศาล” คว่ำหลังสัมภาษณ์สด!!