“ชูวิทย์” วางค้อนหันมาจับกล้องส่องทางไกล ชี้เพื่อตรวจสอบสอดส่องทุกปัญหาให้คนเมืองกรุง ทุ่มงบกว่า 39 ล้านบาทหาเสียงเน้นเข้าถึงคนกรุง 24 ชั่วโมง ยึดนโยบาย “ริเริ่ม เร่งด่วน ติดตาม” ขายคน กทม. พร้อมยกเลิกเมกะโปรเจกต์ขจัดการทุจริต ส่งเสริมสวัสดิการคนรายได้น้อย ข้าราชการ กทม.ให้ดีขึ้น พร้อมติดตามปัญหาที่คั่งค้างอย่าง รถดับเพลิง ฟุ้งขอทำคะแนนรดต้นคอตัวเต็งอย่าง “อภิรักษ์”
วันนี้ (1 ก.ย.) เมื่อเวลา 09.45 น. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.หมายเลข 8 ได้เปิดแถลงถึงนโยบายในการหาเสียงครั้งนี้ว่า นโยบายที่จะนำมาใช้ในการหาเสียงครั้งนี้นั้นตนจะยึดหลักนโยบายบรรทัดเดียวคือ “ริเริ่ม เร่งด่วน ติดตาม” สื่อความหมายได้ว่า “ริเริ่ม” จะทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองท่องเที่ยว จะทำให้พ่อค้า แม่ค้าที่ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ โดยจะอนุญาตให้ขายของได้ทั้ง 7 วัน แต่ต้องมีการจัดการความสะอาด และมีคุณภาพ อีกทั้งจัดการให้เทศกิจไม่ได้มีหน้าที่ในการจับพ่อค้า แม่ค้าเพียงอย่างเดียว แต่จะให้เปลี่ยนหน้าที่ไปเป็นผู้ช่วยตำรวจในการดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่บ้านเมือง “เร่งด่วน” สื่อถึงการที่จะทำให้กรุงเทพฯ เปลี่ยนไป โดยการแก้ปัญหาเดิมๆ เช่นน้ำท่วมอย่างบูรณาการ และจะมีการสานต่อโครงการดีๆ ที่ผู้ว่าฯ คนก่อนๆ ทำมานำมาปรับปรุง และดำเนินการต่อให้มีประสิทธิภาพ จะให้มีการส่งเสริมด้านสวัสดิการของคนกรุงเทพฯ เช่น สร้างแฟลตของคนกรุงเทพฯ เพื่อรองรับคนที่มีรายได้น้อยให้มีที่อยู่อาศัย ปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการของกรุงเทพฯ ในทุกระดับให้ดีขึ้น ในส่วนของการ “ติดตาม” จะเน้นในการติดตามงานที่ตกค้างของคนกรุงเทพฯ เช่นสะสางปัญหาในเรื่องของรถดับเพลิง ปัญหารถบีอาร์ที การใช้ตั๋วร่วมกันของขนส่งมวลชน และโครงการก่อสร้างที่ยังคั่งค้างให้เสร็จสิ้น เช่น อาคาร กทม. 2 โดยจะยกเลิกการทำโครงการเมกกะโปรเจกต์ต่างๆ เพราะโครงการเหล่านี้จะนำไปสู่การทุจริต
“ผมอยากถามคนกรุงเทพฯ ว่าโครงการที่มีการทุจริตนั้นใครกันที่เป็นผู้ตรวจสอบ คำตอบคือไม่มีใครตรวจสอบจึงทำให้โครงการยักษ์ใหญ่ที่มีการทุจริตนั้นล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ทั้งสิ้น และผมจะเข้ามาทำให้ทุกอย่างสามารถตรวจสอบได้ มีความชัดเจน ตอนนี้ปัญหาในกรุงเทพฯ ยังมีอีกมามายที่รอการสะสางแต่ที่กล่าวมานี้คือนโยบายเพียงชุดแรกจาก 3 ชุดในการเปิดตัวในวันนี้ ซึ่งชุดที่ 2 จะออกมาในช่วงกลางเดือน และชุดสุดท้ายก็จะออกมาให้ทุกคนได้เห็นกันในสัปดาห์สุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ที่สำคัญคือการที่จะให้คนกรุงเทพฯ รู้จักและเข้าใจนั้นต้องใช้เวลา ใช้กระแส ซึ่งเมื่อ 4 ปีที่แล้วผมได้คะแนนมากกว่า 3 แสน เป็นการตอกย้ำแล้วว่าคนบางส่วนก็ให้การไว้วางใจ แต่ในปีนี้ขอผมได้มีทำคะแนนลดต้นคอตัวเต็งอย่างคุณอภิรักษ์ก็พอใจแล้ว แต่อย่างไรก็ไม่ควรมองข้ามกัน” นายชูวิทย์กล่าว
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า งบในการหาเสียงครั้งนี้นั้นใช้ไปกว่า 38.9 ล้านบาท โดยจะเน้นในทุกสื่อทั้ง โทรทัศน์ วิทยู เว็บไซต์ และสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ อีกทั้งยังเน้นการหาเสียงที่เข้าถึงและรวดเร็วตลอด 24 ชั่วโมง เพราะทุกเวลาของคนกรุงเทพฯ มีค่าดังนั้นในตอนเช้าจะเข้าไปพบปะกับประชาชนในพื้นที่ที่มีคนมาก เช่น ป้ายรถเมล์ ในเวลาเที่ยงก็ต้องเข้าหาตามสำนักงาน ที่พักรับประทานอาหารเพื่อพบปะพูดคุย ช่วงเย็นก็เช่นกันที่ต้องหาเวลามาเพื่อพบปะกับพี่น้องตามสถานที่ต่างๆ ส่วนในช่วงดึก ก็ต้องให้ความสำคัญกับวัยรุ่น ตามแหล่งเที่ยวต่างๆ เพื่อร่วมรับฟังปัญหา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการเปิดตัวของนายชูวิทย์ครั้งนี้นั้นได้เปลี่ยนสัญลักษณ์ที่เคยถือค้อน แต่เปลี่ยนมาเป็นกล้องส่องทางไกล ที่สื่อความหมายให้เห็นว่าจะสอดส่อง ตรวจสอบ ทุกปัญหาที่เกิดขึ้นให้กระจ่างและชัดเจน