ศาลตัดสินประหารชีวิต “โน๊ต ณะวงศ์” คดีฆ่า “จ่าวีระ ศรีอูด” ผบ.หมู่ ป.สน.สุทธิสาร ส่วนพวกอีก 5 คน จำคุกตั้งแต่ 4-6 ปี ตามลำดับ ขณะที่เมียจ่าแสดงความพอใจกับความยุติธรรมในคำตัดสิน และไม่ติดใจเรียกค่าเสียหายยื่นฟ้องแพ่งต่อ
วันนี้ (30 ก.ย.) เมื่อเวลา 13.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 805 ศาลอาญา ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ ฟ้อง นายกฤษดา หรือ โน๊ต ณะวงศ์, นายสมชาย หรือ ปิค ณะวงศ์, นายอ๊อด หรือ โจ ณะวงศ์, นายอาทิตย์ หรือ นิด ณะวงศ์, นายตู่ หรือโอ ณะวงศ์ และ นายกิตติพงษ์ หรือ แฟต ณะวงศ์ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 16 ในความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าเจ้าพนักงานที่กระทำการตามหน้าที่
โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า เมื่อวันที่ 21 ก.ค.2551 จำเลยที่ 1, 4 และ 5 ได้ไปทวงคืนโทรศัพท์มือถือจาก นายพยุงศักดิ์ พึ่งยา ภายในซอยวิภาวดี 16/9 ถนนวิภาวดีรังสิต จนมีปากเสียงกัน ต่อมา จ.ส.ต.วีระ ศรีอูด ผบ.หมู่ ป.สน.สุทธิสาร เข้ามาเห็นเหตุการณ์ จึงเข้าไปห้าม กลับถูก จำเลยที่ 1 ใช้ไม้เบสบอลชี้ด่าพร้อมตะโกนถามว่า “มึงเสือกอะไร” จ.ส.ต.วีระ ตอบกลับไปว่า “กูเป็นตำรวจจะจับมึงไปโรงพัก” จากนั้นพวกจำเลยทั้งสาม ได้รีบขี่ จยย.ออกจากซอยไป จ.ส.ต.วีระ วิ่งตามไป ขณะนั้น จำเลยที่ 1 เกิดขี่รถ จยย.เสียหลัก จึงวิ่งหนีออกไปทางปากซอย จ.ส.ต.วีระ จึงขี่ จยย.ของจำเลยที่ 1 ตามออกไป โดยมี นายพิมาน เสนนอก ถือไม้เบสบอลของจำเลยที่ 1 ซึ่งตกอยู่นั่งซ้อนท้ายไปด้วย เมื่อไปถึงปากซอย วิภาวดี 16/9 จ.ส.ต.วีระ ได้ตรงเข้าจับกุมจำเลยที่ 1 ถึง 2 ครั้ง แต่จำเลยที่ 1 สะบัดตัวหลุดไปได้ ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะชกเข้าที่หน้า จ.ส.ต.วีระ โดยที่ จำเลยที่ 2 -6 เข้ารุมทำร้าย กระทืบ จ.ส.ต.วีระ ที่ศีรษะ ลำตัว จากนั้น จำเลยที่ 1 ได้แย่งไม้เบสบอล จากมือของนายพิมาน พร้อมเงื้อไม้เบสบอลขึ้นฟาดที่ศีรษะ จ.ต.ส.วีระ ก่อนที่จำเลยทั้งหมดจะหลบหนีไป โดย จ.ส.ต.วีระ ได้เสียชีวิต ในวันรุ่งขึ้น โดยแพทย์ระบุว่ามีอาการสมองบวม เมื่อถูกวัตถุของแข็งกระแทงอย่างแรง
โจทก์มีประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์รวม 3 ปาก ประกอบด้วย นายพิมาน เสนนอก, นายต้อม ขวัญเอี่ยม และ นายเกื้อกูล แซ่หลี โดยพยานโจทก์ได้ลำดับเหตุการณ์ไปตามที่โจทก์ฟ้อง แต่มีรายละเอียดในส่วนที่ จำเลยที่ 2-6 ได้ร่วมกระทำผิดด้วยหรือไม่ คลาดเคลื่อนกันอยู่ แต่จากการพิจารณาคำเบิกความของพยานในชั้นสอบสวนแล้ว เห็นว่า ประจักษ์พยานทั้งสาม ได้ให้ปากคำระบุว่าจำเลยทั้งหกได้รุมทำร้ายร่างกาย จ.ส.ต.วีระ โดยขณะเกิดเหตุมีแสงสว่างที่สามารถมองเห็นใบหน้าของจำเลยทั้งหมดได้อย่างชัดเจน ประกอบกับ การเบิกความของพยานปากของ นายพิมาน เกิดขึ้นหลังจากเกิดเหตุในวันเดียวกัน จึงเชื่อว่าพยานโจทก์ได้ให้การในชั้นสอบสวนไปตามจริง เห็นว่า พยานโจทก์ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งหกมาก่อน ไม่มีเหตุเหตุให้ระแวงสงสัยว่าพยานโจทก์จะเบิกความปรักปรำให้จำเลยทั้งหกได้รับโทษ เชื่อว่าจำเลยที่ 2-6 ร่วมกันรุมทำร้าย จ.ส.ต.วีระ ผู้ตายด้วย
ส่วนที่จำเลยที่ 3, 4 และ 5 นำสืบต่อสู้อ้างสถานที่อยู่ว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ โดยมีพยานจำเลยสนับสนุนคำให้การของจำเลยที่ 3, 4 และ 5 นั้น เห็นว่า พยานที่ให้การสนับสนุนคำเบิกความของจำเลย แต่พยานดังกล่าวมีความสัมพันธ์กัน กรณีจึงเป็นไปได้ว่าพยานจำเลยเบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 3, 4 และ 5 เพื่อไม่ให้ได้รับโทษ โดยไม่คำนึงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พยานหลักฐานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ขณะที่จำเลยที่ 2 และ 6 นำสืบว่า อยู่ในที่เกิดเหตุจริง แต่ไม่ได้ทำร้ายร่างกาย จ.ส.ต.วีระ โดยจำเลยที่ 1 เบิกความเป็นพยานสนับสนุนคำเบิกความของจำเลยที่ 2 และ 6 เห็นว่า จำเลยทั้งหมดเป็นญาติพี่น้องกัน จึงน่าเชื่อว่าเป็นการเบิกความช่วยเหลือกัน ส่วนจำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่า ถูก จ.ส.ต.วีระ ตบที่หูก่อนจึงต้องชกคืน เป็นการป้องกันตัว และใช้ไม้เบสบอลตี เป็นการบันดาลโทสะนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยให้การในชั้น สอบสวนในประเด็นดังกล่าวมาก่อน เนื่องจากเป็นข้อต่อสู้สำคัญของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ได้แจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบว่ามีอาการปวดหู หลังจากถูกจับมาเป็นเวลา 2 วัน จึงไม่น่าเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความจริง จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าเป็นการบันดาลโทสะหรือไม่
คำพิพากษาระบุด้วยว่า จ.ส.ต.วีระ เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเป็นเวลากว่า 10 ปี ทำให้ประชาชนในละแวกดังกล่าวทราบดีว่า จ.ส.ต.วีระ เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเมื่อ จ.ส.ต.วีระ เห็นเหตุการณ์ที่จำเลยที่ 1, 4 และ 5 รุมทำร้ายร่างกายนายพยุงศักดิ์ จึงเข้าไปจับกุมได้ เนื่องจากเป็นเหตุซึ่งหน้า โดยที่จำเลยทั้งหกทราบอยู่แล้วว่า จ.ส.ต.วีระเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะเมื่อ จ.ส.ต.วีระ ตะโกนกลับไปว่า “กูเป็นตำรวจจะจับมึงไปโรงพัก” พวกจำเลยจึงได้วิ่งหลบหนี และจำเลยที่ 2, 3 และ 6 ได้รุมกันกระทืบ จ.ส.ต.วีระ เพราะไม่อยากให้จำเลยที่ 1 ถูกจับกุม ส่วนปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า จำเลยทั้งหกร่วมกันฆ่า จ.ส.ต.วีระ หรือไม่ จากผลการชันสูตรศพของแพทย์ พบว่า มีบาดแผลบวมช้ำที่สมอง มีรอยบวมช้ำทั่วศีรษะ กะโหลกศีรษะแตก ซึ่งเกิดจากถูกของแข็งกระแทกอย่างรุนแรง เชื่อว่า เป็นเพราะถูกไม้เบสบอลที่จำเลยที่ 1 ฟาดใส่ศีรษะ ซึ่งหลังจากที่จำเลยที่ 1 ตีศีรษะ จ.ส.ต.วีระ แล้ว ไม่มีใครเข้าไปทำร้ายร่างกายอีก เห็นว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่า ส่วนจำเลยที่ 2-6 ร่วมกันทำร้ายร่างกาย โดยไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 จะไปแย่งไม้เบสบอลมาตีศีรษะ จ.ส.ต.วีระ แต่อย่างใด
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(2), 138 วรรค 2 ประกอบมาตรา 40 วรรคแรก และ 83 ให้ลงโทษฐานฆ่าเจ้าพนักงานที่กระทำการตามหน้าที่ อันเป็นบทลงโทษสูงสุด ให้ประหารชีวิต ส่วนจำเลยที่ 2-6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ประกอบมาตรา 298, 138 ประกอบมาตรา 40 วรรคแรก ให้ลงโทษฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานที่กระทำการตามหน้าที่ ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2-5 เป็นเวลา 6 ปี ส่วนจำเลยที่ 6 มีอายุไม่เกิน 20 ปี ให้ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกเป็นเวลา 4 ปี ทั้งนี้ให้รวมโทษจำเลยที่ 2 กับโทษในคดีหมายแดงที่ 4139/2549 ของศาลแขวงพระนครเหนือ รวมจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 6 ปี 2 เดือน และจำเลยที่ 3 ให้รวมโทษกับคดีหมายเลขแดงที่ อ.1664/2549 ของศาลอาญา รวมจำคุกจำเลยที่ 3 เป็นเวลา 7 ปี
ภายหลังศาลมีคำพิพากษาให้ประหารชีวิต นายกฤษดา จำเลยที่ 1 มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ส่วนญาติที่มาให้กำลังใจถึงกับร่ำไห้ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะควบคุมตัวจำเลยทั้ง 6 กลับเรือนจำต่อไป
นางนิด เฉลียวกาญจน์ ภรรยาของ จ.ส.ต.วีระ ที่ร่วมฟังคำพิพากษาด้วย เปิดเผยว่า พอใจกับผลคำพิพากษา ถือว่าศาลได้ให้ความยุติธรรมกับครอบครัวตนอย่างที่สุดแล้ว ส่วนเรื่องที่จำเลยจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่นั้นคงเป็นหน้าที่ของฝ่ายจำเลย ที่ต้องว่ากันไปตามกระบวนการทางกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะดำเนินการฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายหรือไม่ นางนิด กล่าวว่า ไม่อยากให้คดีต้องยืดเยื้อไปอีก เพราะต้องการให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษในสิ่งที่เขาได้ก่อไว้ก็เพียงพอแล้ว ส่วนการให้ความช่วยเหลือจากต้นสังกัด หลังเหตุการณ์ผ่านมาประมาณ 1 ปี ครอบครัวยังไม่ได้รับเงินบำเหน็จเลย สอบถามไปยังต้นสังกัดก็บอกว่าขั้นตอนอยู่ระหว่างดำเนินการ
วันนี้ (30 ก.ย.) เมื่อเวลา 13.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 805 ศาลอาญา ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ ฟ้อง นายกฤษดา หรือ โน๊ต ณะวงศ์, นายสมชาย หรือ ปิค ณะวงศ์, นายอ๊อด หรือ โจ ณะวงศ์, นายอาทิตย์ หรือ นิด ณะวงศ์, นายตู่ หรือโอ ณะวงศ์ และ นายกิตติพงษ์ หรือ แฟต ณะวงศ์ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 16 ในความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าเจ้าพนักงานที่กระทำการตามหน้าที่
โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า เมื่อวันที่ 21 ก.ค.2551 จำเลยที่ 1, 4 และ 5 ได้ไปทวงคืนโทรศัพท์มือถือจาก นายพยุงศักดิ์ พึ่งยา ภายในซอยวิภาวดี 16/9 ถนนวิภาวดีรังสิต จนมีปากเสียงกัน ต่อมา จ.ส.ต.วีระ ศรีอูด ผบ.หมู่ ป.สน.สุทธิสาร เข้ามาเห็นเหตุการณ์ จึงเข้าไปห้าม กลับถูก จำเลยที่ 1 ใช้ไม้เบสบอลชี้ด่าพร้อมตะโกนถามว่า “มึงเสือกอะไร” จ.ส.ต.วีระ ตอบกลับไปว่า “กูเป็นตำรวจจะจับมึงไปโรงพัก” จากนั้นพวกจำเลยทั้งสาม ได้รีบขี่ จยย.ออกจากซอยไป จ.ส.ต.วีระ วิ่งตามไป ขณะนั้น จำเลยที่ 1 เกิดขี่รถ จยย.เสียหลัก จึงวิ่งหนีออกไปทางปากซอย จ.ส.ต.วีระ จึงขี่ จยย.ของจำเลยที่ 1 ตามออกไป โดยมี นายพิมาน เสนนอก ถือไม้เบสบอลของจำเลยที่ 1 ซึ่งตกอยู่นั่งซ้อนท้ายไปด้วย เมื่อไปถึงปากซอย วิภาวดี 16/9 จ.ส.ต.วีระ ได้ตรงเข้าจับกุมจำเลยที่ 1 ถึง 2 ครั้ง แต่จำเลยที่ 1 สะบัดตัวหลุดไปได้ ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะชกเข้าที่หน้า จ.ส.ต.วีระ โดยที่ จำเลยที่ 2 -6 เข้ารุมทำร้าย กระทืบ จ.ส.ต.วีระ ที่ศีรษะ ลำตัว จากนั้น จำเลยที่ 1 ได้แย่งไม้เบสบอล จากมือของนายพิมาน พร้อมเงื้อไม้เบสบอลขึ้นฟาดที่ศีรษะ จ.ต.ส.วีระ ก่อนที่จำเลยทั้งหมดจะหลบหนีไป โดย จ.ส.ต.วีระ ได้เสียชีวิต ในวันรุ่งขึ้น โดยแพทย์ระบุว่ามีอาการสมองบวม เมื่อถูกวัตถุของแข็งกระแทงอย่างแรง
โจทก์มีประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์รวม 3 ปาก ประกอบด้วย นายพิมาน เสนนอก, นายต้อม ขวัญเอี่ยม และ นายเกื้อกูล แซ่หลี โดยพยานโจทก์ได้ลำดับเหตุการณ์ไปตามที่โจทก์ฟ้อง แต่มีรายละเอียดในส่วนที่ จำเลยที่ 2-6 ได้ร่วมกระทำผิดด้วยหรือไม่ คลาดเคลื่อนกันอยู่ แต่จากการพิจารณาคำเบิกความของพยานในชั้นสอบสวนแล้ว เห็นว่า ประจักษ์พยานทั้งสาม ได้ให้ปากคำระบุว่าจำเลยทั้งหกได้รุมทำร้ายร่างกาย จ.ส.ต.วีระ โดยขณะเกิดเหตุมีแสงสว่างที่สามารถมองเห็นใบหน้าของจำเลยทั้งหมดได้อย่างชัดเจน ประกอบกับ การเบิกความของพยานปากของ นายพิมาน เกิดขึ้นหลังจากเกิดเหตุในวันเดียวกัน จึงเชื่อว่าพยานโจทก์ได้ให้การในชั้นสอบสวนไปตามจริง เห็นว่า พยานโจทก์ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งหกมาก่อน ไม่มีเหตุเหตุให้ระแวงสงสัยว่าพยานโจทก์จะเบิกความปรักปรำให้จำเลยทั้งหกได้รับโทษ เชื่อว่าจำเลยที่ 2-6 ร่วมกันรุมทำร้าย จ.ส.ต.วีระ ผู้ตายด้วย
ส่วนที่จำเลยที่ 3, 4 และ 5 นำสืบต่อสู้อ้างสถานที่อยู่ว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ โดยมีพยานจำเลยสนับสนุนคำให้การของจำเลยที่ 3, 4 และ 5 นั้น เห็นว่า พยานที่ให้การสนับสนุนคำเบิกความของจำเลย แต่พยานดังกล่าวมีความสัมพันธ์กัน กรณีจึงเป็นไปได้ว่าพยานจำเลยเบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 3, 4 และ 5 เพื่อไม่ให้ได้รับโทษ โดยไม่คำนึงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พยานหลักฐานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ขณะที่จำเลยที่ 2 และ 6 นำสืบว่า อยู่ในที่เกิดเหตุจริง แต่ไม่ได้ทำร้ายร่างกาย จ.ส.ต.วีระ โดยจำเลยที่ 1 เบิกความเป็นพยานสนับสนุนคำเบิกความของจำเลยที่ 2 และ 6 เห็นว่า จำเลยทั้งหมดเป็นญาติพี่น้องกัน จึงน่าเชื่อว่าเป็นการเบิกความช่วยเหลือกัน ส่วนจำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่า ถูก จ.ส.ต.วีระ ตบที่หูก่อนจึงต้องชกคืน เป็นการป้องกันตัว และใช้ไม้เบสบอลตี เป็นการบันดาลโทสะนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยให้การในชั้น สอบสวนในประเด็นดังกล่าวมาก่อน เนื่องจากเป็นข้อต่อสู้สำคัญของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ได้แจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบว่ามีอาการปวดหู หลังจากถูกจับมาเป็นเวลา 2 วัน จึงไม่น่าเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความจริง จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าเป็นการบันดาลโทสะหรือไม่
คำพิพากษาระบุด้วยว่า จ.ส.ต.วีระ เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเป็นเวลากว่า 10 ปี ทำให้ประชาชนในละแวกดังกล่าวทราบดีว่า จ.ส.ต.วีระ เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเมื่อ จ.ส.ต.วีระ เห็นเหตุการณ์ที่จำเลยที่ 1, 4 และ 5 รุมทำร้ายร่างกายนายพยุงศักดิ์ จึงเข้าไปจับกุมได้ เนื่องจากเป็นเหตุซึ่งหน้า โดยที่จำเลยทั้งหกทราบอยู่แล้วว่า จ.ส.ต.วีระเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะเมื่อ จ.ส.ต.วีระ ตะโกนกลับไปว่า “กูเป็นตำรวจจะจับมึงไปโรงพัก” พวกจำเลยจึงได้วิ่งหลบหนี และจำเลยที่ 2, 3 และ 6 ได้รุมกันกระทืบ จ.ส.ต.วีระ เพราะไม่อยากให้จำเลยที่ 1 ถูกจับกุม ส่วนปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า จำเลยทั้งหกร่วมกันฆ่า จ.ส.ต.วีระ หรือไม่ จากผลการชันสูตรศพของแพทย์ พบว่า มีบาดแผลบวมช้ำที่สมอง มีรอยบวมช้ำทั่วศีรษะ กะโหลกศีรษะแตก ซึ่งเกิดจากถูกของแข็งกระแทกอย่างรุนแรง เชื่อว่า เป็นเพราะถูกไม้เบสบอลที่จำเลยที่ 1 ฟาดใส่ศีรษะ ซึ่งหลังจากที่จำเลยที่ 1 ตีศีรษะ จ.ส.ต.วีระ แล้ว ไม่มีใครเข้าไปทำร้ายร่างกายอีก เห็นว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่า ส่วนจำเลยที่ 2-6 ร่วมกันทำร้ายร่างกาย โดยไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 จะไปแย่งไม้เบสบอลมาตีศีรษะ จ.ส.ต.วีระ แต่อย่างใด
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(2), 138 วรรค 2 ประกอบมาตรา 40 วรรคแรก และ 83 ให้ลงโทษฐานฆ่าเจ้าพนักงานที่กระทำการตามหน้าที่ อันเป็นบทลงโทษสูงสุด ให้ประหารชีวิต ส่วนจำเลยที่ 2-6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ประกอบมาตรา 298, 138 ประกอบมาตรา 40 วรรคแรก ให้ลงโทษฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานที่กระทำการตามหน้าที่ ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2-5 เป็นเวลา 6 ปี ส่วนจำเลยที่ 6 มีอายุไม่เกิน 20 ปี ให้ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกเป็นเวลา 4 ปี ทั้งนี้ให้รวมโทษจำเลยที่ 2 กับโทษในคดีหมายแดงที่ 4139/2549 ของศาลแขวงพระนครเหนือ รวมจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 6 ปี 2 เดือน และจำเลยที่ 3 ให้รวมโทษกับคดีหมายเลขแดงที่ อ.1664/2549 ของศาลอาญา รวมจำคุกจำเลยที่ 3 เป็นเวลา 7 ปี
ภายหลังศาลมีคำพิพากษาให้ประหารชีวิต นายกฤษดา จำเลยที่ 1 มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ส่วนญาติที่มาให้กำลังใจถึงกับร่ำไห้ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะควบคุมตัวจำเลยทั้ง 6 กลับเรือนจำต่อไป
นางนิด เฉลียวกาญจน์ ภรรยาของ จ.ส.ต.วีระ ที่ร่วมฟังคำพิพากษาด้วย เปิดเผยว่า พอใจกับผลคำพิพากษา ถือว่าศาลได้ให้ความยุติธรรมกับครอบครัวตนอย่างที่สุดแล้ว ส่วนเรื่องที่จำเลยจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่นั้นคงเป็นหน้าที่ของฝ่ายจำเลย ที่ต้องว่ากันไปตามกระบวนการทางกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะดำเนินการฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายหรือไม่ นางนิด กล่าวว่า ไม่อยากให้คดีต้องยืดเยื้อไปอีก เพราะต้องการให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษในสิ่งที่เขาได้ก่อไว้ก็เพียงพอแล้ว ส่วนการให้ความช่วยเหลือจากต้นสังกัด หลังเหตุการณ์ผ่านมาประมาณ 1 ปี ครอบครัวยังไม่ได้รับเงินบำเหน็จเลย สอบถามไปยังต้นสังกัดก็บอกว่าขั้นตอนอยู่ระหว่างดำเนินการ