ศาลสั่งจำคุก 11 ปี 6 เดือน “ร.ต.ท.สืบสวน สน.บางยี่ขัน” บันดาลโทสะลั่นไกดับ รอง ผกก.ป.คาโรงพัก รับสารภาพศาลปรานีลดเหลือ 7 ปี 8 เดือน
วันนี้ (20 ส.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 509 ศาลจังหวัดตลิ่งชัน ถ.สวนผัก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ ที่ ด.1064/2551 ที่พนักงานอัยการจังหวัดตลิ่งชัน เป็นโจทก์ฟ้อง ร.ต.ท.วัชรินทร์ รักประทุม อายุ 36 ปี อดีตพนักงานสอบสวน (สบ.1) ช่วยราชการฝ่ายสืบสวน สน.บางยี่ขัน เป็นจำเลย ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไต่ตรองไว้ก่อน มีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 ต.ค.50 เวลา 02.00 น. จำเลยเป็นพนักงานสอบสวน (สบ.1) ช่วยราชการฝ่ายสืบสวน สน.บางยี่ขัน มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนขนาด 9 มม.ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยใช้ปืนยิง พ.ต.ท.วีรากร ไวยวุฒิ อายุ 38 ปี หรือรองฯ เต้ย รอง ผกก.ป.สน.บางยี่ขัน ที่ศีรษะและร่างกายจนเสียชีวิต ก่อนจะหลบหนีไป เหตุเกิดที่หน้า สน.บางยี่ขัน แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพฯ พบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม.จำนวน 3 ปลอก และหัวกระสุนขนาดเดียวกันอีก 1 หัว ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ ต่อมาวันที่ 8 ธ.ค.50 เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมจำเลยได้ที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย อ.ตากใบ จ.นราธิวาส จำเลยให้การปฏิเสธเรื่องการมีและพกพาอาวุธปืนโดยไม่รับอนุญาต และให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ยิง พ.ต.ท.วีรากร ถึงแก่ความตาย โดยอ้างเหตุบันดาลโทสะ ต่อมา นางศรัทธยา ไวยวุฒิ ภรรยาผู้ตายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาต
จำเลยนำสืบว่า ก่อนเกิดเหตุ จำเลย และ ส.ต.อ.สุพรรณ สามศรี เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางยี่ขัน ไปสืบสวนจับกุมคนขายยาเสพติดที่ร้านอาหารอีสานเถิดเทิง ซึ่งอยู่ห่างจาก สน.บางยี่ขัน 1 กม. จนเวลาประมาณ 01.30 น. มีเจ้าหน้าที่สายตรวจที่ได้รับคำสั่งจาก พ.ต.ท.วีรากร ได้เดินทางไปปิดร้าน เพื่อไม่ให้ร้านเปิดขายอาหารเกินเวลา จำเลยออกจากร้านไปกับ ส.ต.อ.สุพรรณ โดยทำการออกตรวจท้องที่ ก่อนจะเดินทางกลับเข้า สน.บางยี่ขัน โดย ส.ต.อ.สุพรรณ เป็นคนขับรถไปส่งให้จำเลยลงที่หน้า สน.บางยี่ขัน ระหว่างนั้น พ.ต.ท.วีรากร ได้พบกับจำเลยและมีการโต้เถียงกัน โดยผู้ตายด่าทอถึงบิดามารดา จำเลยโมโหจึงใช้ปืนยิงใส่ศีรษะและร่างกายของ พ.ต.ท.วีรากร โดยจำเลยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับ พ.ต.ท.วีรากร มาก่อน
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยยอมรับว่าเป็นผู้ยิง พ.ต.ท.วีรากร มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ สำหรับการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น ต้องได้ความว่าผู้กระทำผิดต้องคิดใคร่ครวญก่อนกระทำผิด แต่จากพฤติการณ์ดังกล่าวไม่ปรากฏว่าจำเลยมีความโกรธแค้นที่ถูกลูกน้องของ พ.ต.ท.วีรากร ไปสั่งปิดร้าน ขณะที่จำเลยกำลังปฏิบัติหน้าที่ ทั้งที่ร้านอาหารดังกล่าวห่างจาก สน.บางยี่ขัน เพียง 1 กม.เท่านั้น แต่จำเลยก็ไม่ได้กลับมา สน.บางยี่ขัน ในทันที โดยทำการออกตรวจท้องที่ก่อน จำเลยจึงไม่มีเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ประกอบกับคำเบิกความของประจักษ์พยานที่อยู่ที่ร้านสะดวกซื้อใกล้จุดเกิดเหตุและพยานที่ร้านอาหาร ระบุสอดคล้องกันกับคำให้การของจำเลยว่า เมื่อจำเลยเดินทางไปถึง สน.บางยี่ขัน ผู้ตายได้เข้าไปด่าทอ ทำนองว่า “มึงเป็นใครและกูเป็นใคร มึงมันแค่ ร.ต.ท.กระจอก” และพูดทำนองเยาะเย้ยถากถางที่จำเลยไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ ทำนองว่าเป็นการทำหน้าที่เกินหน้าเกินตา พร้อมกล่าวว่า “มึงกราบตีนกูแล้วจะยกโทษให้” โดยจำเลยได้โต้เถียงบ้าง และพยายามเดินเลี่ยงไป แต่ พ.ต.ท.วีรากร ยังเดินตามไปด่าอีกว่า “พ่อแม่มึงต่ำชั้นกว่ากู มึงเป็นใคร แล้วกูเป็นใคร” เห็นว่าผู้ตายมีความขัดแย้งกับจำเลยในเรื่องการทำงานอยู่ในที แต่ไม่มีการแสดงออกมาก่อน พฤติการณ์ของผู้ตายเข้าข่ายขัดขวางการทำหน้าที่ของจำเลย การพูดด่าทอของผู้ตายที่ด่าถึงยศที่ต่ำกว่า ด่าถึงบิดามารดา แม้จำเลยจะเดินหนีแล้ว แม้จำเลยจะโต้เถียงบ้างแต่ไม่ได้ด่าทอกลับ จึงมีแต่ผู้ตายที่ด่าทออยู่ข้างเดียว ผู้ตายด่าซ้ำไปซ้ำมา ดูถูกเหยียดหยาม จึงเป็นเหตุให้จำเลยใช้อาวุธยิงโดยเป็นการบันดาลโทสะ
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยมีอาวุธปืนในครอบครองและพกพาปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ แม้โจทก์จะไม่มีปืนของกลางมายืนยัน แต่จำเลยรับสารภาพว่าปืนได้สูญหายไปขณะหลบหนี เห็นว่าแม้จำเลยจะอ้างว่าปืนได้ซื้อมาอย่างถูกต้องและกำลังอยู่ในระหว่างขอใบอนุญาต แต่การที่ยังไม่มีใบอนุญาตให้มีและพกพาอาวุธปืนนั้น จำเลยจึงไม่สามารถมีและพกพาอาวุธปืนได้
ศาลพิเคราะห์แล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตาย ให้ลงโทษจำเลยเป็นเวลา 10 ปี ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตให้จำคุกเป็นเวลา 1 ปี และความผิดฐานพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควรจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน รวมจำคุก 11 ปี 6 เดือน แต่คำให้การรับสารภาพของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยเป็นเวลา 7 ปี 8 เดือน คำขออื่นให้ยก
ภายหลังศาลมีคำพิพากษา นางศรัทธยา ไวยวุฒิ ภรรยาของ พ.ต.ท.วีรากร ผู้ตาย กล่าวว่า รู้สึกพอใจผลคำพิพากษา แต่ทั้งนี้คงต้องยื่นอุทธรณ์ต่อไป ส่วนเรื่องการฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายจากการตายของสามีนั้นคงต้องปรึกษากับทางทนายความอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการอ่านคำพิพากษาวันนี้ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.บางยี่ขัน มาร่วมฟังคำพิพากษาจำนวนมาก โดยฝ่ายของ พ.ต.ท.วีรากร มีญาติและเพื่อนสนิทที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่น นักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่น 43 ขณะที่ฝ่าย ร.ต.ท.วัชรินทร์ มีนางชิดชนก บุญกุศล ภรรยา พาลูกๆ มาให้กำลังใจเช่นกัน สำหรับ พ.ต.ท.วีรากร เรียนจบ นรต.รุ่น 43 เคยเป็นนายเวรของ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรัตน์ อดีต ผบช.น. ก่อนจะขึ้นเป็น สว.สส.สน.ลุมพินี จากนั้นย้ายไปเป็น สว.สส.สน.บางยี่ขัน ก่อนขยับขึ้นเป็นรอง ผกก.ป.สน.บางยี่ขัน ขณะที่ ร.ต.ท.วัชรินทร์ เป็นชาวอำเภอทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช เป็นนักเรียนนายร้อยอบรม และเริ่มรับราชการเป็นพนักงานสอบสวนที่ สน.บางยี่ขัน และให้ไปช่วยราชการฝ่ายสืบสวน สน.บางยี่ขัน