ตำรวจนำตัว 39 ผู้ต้องหาคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์จากจีน หลอกโอนเงินโทรศัพท์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต หรือวีโอไอพี สูญเงินกว่า 7 ล้านฝากขังศาลอาญา ส่วนเยาชนต่ำกว่า 17 ร่วมแก๊งอีก 2 คนฝากขังศาลเยาวชน
วันนี้ (20 ก.ย.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พ.ต.ท.มนูญ สายพิมพ์ พนักงานสอบสวนกองปราบปราม พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจคอมมานโดกว่า 20 นายได้ควบคุมตัว น.ส.มัณทนา แก้วสีโวย กับพวกรวม 39 คน ผู้ต้องหาคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มาฝากขังต่อศาลครั้งแรก เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย.ถึง 1 ต.ค.51 เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ต้องรอสอบปากคำพยานจำนวน 150 ปาก ซึ่งอยู่ระหว่างเร่งรัดติดตามพยานมาสอบปากคำเป็นการด่วน รอผลตรวจพิมพ์ลายนิ้วมือผู้ต้องหาประกอบการสอบสวน
ตามคำร้องระบุพฤติการณ์ว่า เมื่อประมาณปี 50 ถึงวันที่ 13 มี.ค.51 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน ผู้ต้องหาทั้งหมดซึ่งเดินทางไปทำงานอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ร่วมกันหลอกลวงประชาชนเพื่อหลอกเอาทรัพย์สิน โดยแบ่งหน้าที่กันทำ ด้วยการใช้โทรศัพท์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต หรือวีโอไอพี (VOICE OVER INTERNET PROTOCAL) จากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนไปยังประชาชนทั่วไปในประเทศไทย โดยอ้างตนเป็นพนักงานธนาคารพาณิชย์ของประเทศไทย เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเป็นบุคคลอื่น เพื่อหลอกลวงประชาชนว่า ประชาชน หรือผู้เสียหายนั้น เป็นหนี้บัตรเครดิตซึ่งถูกกระทำโดยมิจฉาชีพ ให้นำบัตรเอทีเอ็ม บัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต ซึ่งเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ไปสอดเข้าเครื่องเอทีเอ็ม แล้วทำรายการตามที่ผู้ต้องหากับพวกบอกให้ทำ เพื่อแก้ไขข้อมูลที่มิจฉาชีพกระทำไว้ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นการโอนเงินจากบัญชีของผู้เสียหายไปยังบัญชีเงินฝากของพวกผู้ต้องหาที่ได้เปิดไว้กับธนาคารในประเทศไทย ทั้งนี้มีรายงานมูลค่าความเสียหาย 7-8 ล้านบาท การกระทำของผู้ต้องหาทั้งหมดจึงเป็นความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจของสาธารณรัฐประชาชนจีนได้จับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดดำเนินคดีแล้วส่งตัวกลับมายังประเทศไทยโดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพและปฏิเสธ เหตุเกิดหลายจังหวัดในประเทศไทย และสารธารณรัฐประชาชนจีน เกี่ยวพันกัน ศาลสอบถามผู้ต้องหาแล้ว ทั้งหมดไม่คัดค้านจึงอนุญาตให้ฝากขังได้
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า พนักงานสอบสวนได้แยกส่งสำนวนคำร้องฝากขัง พร้อมกับส่งตัวผู้ต้องหาซึ่งเป็นเด็กและเยาวชนอายุกว่า 17 ปี จำนวน 2 คน ไปฝากขังยังศาลเยาวชนและครอบครัวกลางที่สนามหลวงอีกด้วย