คนร้ายทาหน้าด้วยโคลนบุกเดี่ยวใช้ปืนจี้ชิงทรัพย์แฟมิลี่มาร์ทแถวรามคำแหง ขู่ “ถ้ามึงไม่อยากตายก็เอาเงินมา” พอได้เฉพาะตังค์เหรียญยังมีหน้ามาขอเป็นเงินแบงก์แทนก่อนหอบเงินเหรียญ 6 พันบาท และบัตรเติมเงินหลบหนี ตร.เร่งสอบขยายผลทั้งคนในและลูกค้า เพื่อตามจับคนร้ายมาดำเนินคดี
วันนี้ (18 ก.ย.) เมื่อเวลา 01.00 น. พ.ต.ท.พร จุลพิภัฒน์ พงส.(สบ.2) สน.หัวหมาก ได้รับแจ้งเหตุมีคนร้ายจี้ชิงทรัพย์ภายในร้านแฟมิลี่มาร์ท เลขที่ 52/5-6 ปากซอยรามคำแหง 60/4 ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม.จึงรุดไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.วัฒนา ยี่จีน ผกก.สน.หัวหมาก พ.ต.ท.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย รอง ผกก.ปป.สน.หัวหมาก เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.หัวหมาก
ที่เกิดเหตุภายในร้านดังกล่าว เจ้าหน้าที่พบ นายกิติกร สมศรี อายุ 16 ปี และ นายกฤษฎา ทองล้วน อายุ 20 ปี ทั้ง 2 เป็นพนักงานของร้านดังกล่าว ยืนรอพอเจ้าหน้าที่ด้วยอาการตื่นตกใจ
จากการสอบสวนนายกิติกร ให้การว่า คนร้ายเป็นชาย 1 ราย ผมสั้น สูงประมาณ 165-170 ซม.รูปร่างสันทัด สวมเสื้อยืดคอกลมแขนสั้นสีขาว สวมทับด้วยเสื้อเชิ้ตสีเขียวอีกชั้น ใช้ผ้าปิดปาก ทาใบหน้าด้วยโคลนเพื่อบังไม่ให้ใครเห็นใบหน้า ถืออาวุธปืนลูกโม่สีดำไม่ทราบขนาด เดินเข้ามาในร้านซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ปลอดคน ตนและเพื่อนกำลังนั่งจัดของอยู่ภายในร้าน จากนั้นคนร้ายจึงได้ใช้อาวุธปืนที่เตรียมมาขู่บังคับให้เข้าไปอยู่ที่เคาน์เตอร์ โดยให้หลอกเข้าไปทางใต้เคาน์เตอร์ เหมือนกับว่าคนร้ายรู้ว่าสามารถลอดเข้าด้านใต้ได้ พร้อมกับบอกว่า “ถ้ามึงไม่อยากตายก็เอาเงินมา”
นายกิติกร กล่าวต่อว่า จากนั้นตนจึงได้หยิบเงินเหรียญที่นับใส่ถุงจำนวน 6,000 บาท ไว้ให้กับคนร้ายไป คนร้ายจึงได้ถามว่า “ไม่มีแบงก์หรือไง กุญแจตู้เซฟอยู่ไหน เอากุญแจมา” แต่ตนกับเพื่อนก็ไม่ได้หยิบกุญแจให้คนร้าย หลังจากนั้นคนร้ายก็ได้บอกให้หยิบบัตรเติมเงินให้ ตนจึงหยิบบัตรเติมเงินราคาต่างๆ ให้ไปรวมมูลค่าประมาณ 3,000 บาท ก่อนที่คนร้ายจะวิ่งหลบหนีออกไปทางหน้าร้าน แล้ววิ่งไปเรียกแท็กซี่สีชมพูไม่ทราบยี่ห้อรุ่น และหมายเลขทะเบียนหลบหนีไป แต่คนร้ายได้ทำเงินหล่นไว้ที่ป้ายรถเมล์ขณะเรียกแท็กซี่ จำนวน 2,000 บาท หลังจากนั้นตนจึงได้แจ้งตำรวจมาตรวจสอบ
ด้าน พ.ต.อ.วัฒนา กล่าวว่า หลังจากตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในร้านพบว่า คนร้ายเข้ามาก่อเหตุขณะที่กำลังปลอดคน พลางหน้าด้วยโคลนที่อยู่หน้าร้าน และพกอาวุธปืนติดตัวมาด้วย ก่อนจะเอาปืนจี้บังคับให้พนักงานทั้ง 2 คน หยิบเงินให้คนร้ายไปหลบหนีไป เบื้องต้นคาดว่า คนร้ายน่าจะมีการวางแผนและเตรียมการมาเป็นอย่างดี หลังจากนี้จะได้ให้ฝ่ายสืบสวนตรวจสอบแฟ้มประวัติของพนักงานของร้าน ทั้งคนที่ออกไปแล้วและยังทำงานอยู่ รวมถึงลูกค้าประจำ ซึ่งก็ได้ให้เจ้าหน้าที่ประสานไปยัง สวพ.ว่ามีแท็กซี่คันใดบ้างที่รับผู้ที่มีลักษณะรูปพรรณคล้ายกับคนร้าย และไปส่งที่จุดใดเพื่อใช้เป็นแนวทางการสืบสวน
พ.ต.อ.วัฒนา กล่าวต่อว่า หลังจากนี้จะได้ให้เจ้าหน้าที่ประสานไปยังอู่รถแท็กซี่ เพื่อหาตัวยคนขับแท็กซี่ที่รับคนร้ายไปมาสอบสวน ส่วนคนร้ายรายนี้อาจจะเป็นคนในหรือคนนอกก็เป็นได้ จึงอยากฝากประชาสัมพันธุ์ให้ใครที่เห็นเหตุการหรือดูภายกล้องวงจรปิดแล้วรู้จักหรือเคยเห็นชายที่มีลักษณะคล้ายกับคนร้าย ขอให้เข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่เพื่อใช้เป็นเบาะแสในการสืบสวน หลังจากนี้จะได้เรียกตัวพนักงานทั้ง 2 คน ที่อยู่ในที่เกิดเหตุมาสอบปากคำ พร้อมทั้งพยานแวดล้อมมาสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้งก่อนดำเนินการต่อไป
วันนี้ (18 ก.ย.) เมื่อเวลา 01.00 น. พ.ต.ท.พร จุลพิภัฒน์ พงส.(สบ.2) สน.หัวหมาก ได้รับแจ้งเหตุมีคนร้ายจี้ชิงทรัพย์ภายในร้านแฟมิลี่มาร์ท เลขที่ 52/5-6 ปากซอยรามคำแหง 60/4 ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม.จึงรุดไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.วัฒนา ยี่จีน ผกก.สน.หัวหมาก พ.ต.ท.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย รอง ผกก.ปป.สน.หัวหมาก เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.หัวหมาก
ที่เกิดเหตุภายในร้านดังกล่าว เจ้าหน้าที่พบ นายกิติกร สมศรี อายุ 16 ปี และ นายกฤษฎา ทองล้วน อายุ 20 ปี ทั้ง 2 เป็นพนักงานของร้านดังกล่าว ยืนรอพอเจ้าหน้าที่ด้วยอาการตื่นตกใจ
จากการสอบสวนนายกิติกร ให้การว่า คนร้ายเป็นชาย 1 ราย ผมสั้น สูงประมาณ 165-170 ซม.รูปร่างสันทัด สวมเสื้อยืดคอกลมแขนสั้นสีขาว สวมทับด้วยเสื้อเชิ้ตสีเขียวอีกชั้น ใช้ผ้าปิดปาก ทาใบหน้าด้วยโคลนเพื่อบังไม่ให้ใครเห็นใบหน้า ถืออาวุธปืนลูกโม่สีดำไม่ทราบขนาด เดินเข้ามาในร้านซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ปลอดคน ตนและเพื่อนกำลังนั่งจัดของอยู่ภายในร้าน จากนั้นคนร้ายจึงได้ใช้อาวุธปืนที่เตรียมมาขู่บังคับให้เข้าไปอยู่ที่เคาน์เตอร์ โดยให้หลอกเข้าไปทางใต้เคาน์เตอร์ เหมือนกับว่าคนร้ายรู้ว่าสามารถลอดเข้าด้านใต้ได้ พร้อมกับบอกว่า “ถ้ามึงไม่อยากตายก็เอาเงินมา”
นายกิติกร กล่าวต่อว่า จากนั้นตนจึงได้หยิบเงินเหรียญที่นับใส่ถุงจำนวน 6,000 บาท ไว้ให้กับคนร้ายไป คนร้ายจึงได้ถามว่า “ไม่มีแบงก์หรือไง กุญแจตู้เซฟอยู่ไหน เอากุญแจมา” แต่ตนกับเพื่อนก็ไม่ได้หยิบกุญแจให้คนร้าย หลังจากนั้นคนร้ายก็ได้บอกให้หยิบบัตรเติมเงินให้ ตนจึงหยิบบัตรเติมเงินราคาต่างๆ ให้ไปรวมมูลค่าประมาณ 3,000 บาท ก่อนที่คนร้ายจะวิ่งหลบหนีออกไปทางหน้าร้าน แล้ววิ่งไปเรียกแท็กซี่สีชมพูไม่ทราบยี่ห้อรุ่น และหมายเลขทะเบียนหลบหนีไป แต่คนร้ายได้ทำเงินหล่นไว้ที่ป้ายรถเมล์ขณะเรียกแท็กซี่ จำนวน 2,000 บาท หลังจากนั้นตนจึงได้แจ้งตำรวจมาตรวจสอบ
ด้าน พ.ต.อ.วัฒนา กล่าวว่า หลังจากตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในร้านพบว่า คนร้ายเข้ามาก่อเหตุขณะที่กำลังปลอดคน พลางหน้าด้วยโคลนที่อยู่หน้าร้าน และพกอาวุธปืนติดตัวมาด้วย ก่อนจะเอาปืนจี้บังคับให้พนักงานทั้ง 2 คน หยิบเงินให้คนร้ายไปหลบหนีไป เบื้องต้นคาดว่า คนร้ายน่าจะมีการวางแผนและเตรียมการมาเป็นอย่างดี หลังจากนี้จะได้ให้ฝ่ายสืบสวนตรวจสอบแฟ้มประวัติของพนักงานของร้าน ทั้งคนที่ออกไปแล้วและยังทำงานอยู่ รวมถึงลูกค้าประจำ ซึ่งก็ได้ให้เจ้าหน้าที่ประสานไปยัง สวพ.ว่ามีแท็กซี่คันใดบ้างที่รับผู้ที่มีลักษณะรูปพรรณคล้ายกับคนร้าย และไปส่งที่จุดใดเพื่อใช้เป็นแนวทางการสืบสวน
พ.ต.อ.วัฒนา กล่าวต่อว่า หลังจากนี้จะได้ให้เจ้าหน้าที่ประสานไปยังอู่รถแท็กซี่ เพื่อหาตัวยคนขับแท็กซี่ที่รับคนร้ายไปมาสอบสวน ส่วนคนร้ายรายนี้อาจจะเป็นคนในหรือคนนอกก็เป็นได้ จึงอยากฝากประชาสัมพันธุ์ให้ใครที่เห็นเหตุการหรือดูภายกล้องวงจรปิดแล้วรู้จักหรือเคยเห็นชายที่มีลักษณะคล้ายกับคนร้าย ขอให้เข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่เพื่อใช้เป็นเบาะแสในการสืบสวน หลังจากนี้จะได้เรียกตัวพนักงานทั้ง 2 คน ที่อยู่ในที่เกิดเหตุมาสอบปากคำ พร้อมทั้งพยานแวดล้อมมาสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้งก่อนดำเนินการต่อไป
