ตำรวจออกประกาศฉบับสุดท้าย ให้พันธมิตรฯออกจากทำเนียบรัฐบาล โดยเด็ดขาด และจะให้เวลาถึง 18.00 น.วันนี้เท่านั้น ขณะเดียวกัน ในวันพรุ่งนี้ จะเสนอศาลออกหมายจับ 5 แกนนำพันธมิตรฯทันที
วันนี้ (26 ส.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกตำรวจ ได้นำประกาศของ บช.น.มาแจ้งแก่สื่อมวลชน โดยประกาศดังกล่าวระบุว่า ประกาศเตือนครั้งสุดท้ายของ บช.น.การที่กลุ่มพันธมิตรฯ ได้จัดให้มีการชุมนุมในทางการเมือง อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.จนถึงวันนี้ กลุ่มแกนนำผู้ชุมนุมได้แบ่งหน้าที่กันนำผู้ชุมนุมเข้าทำการบุกรุกสถานที่ราชการ ก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองหลายแห่ง เช่น ทำเนียบรัฐบาล กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที เป็นต้น ซึ่งสถานที่ดังกล่าวเป็นสถานที่สำคัญในการใช้เป็นสถานที่บริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหาร และถือเป็นหน้าตาของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเป็นการเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันควร หรือเข้าไปเพื่อขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยแล้ว ก็จะเป็นความผิดในทางอาญา กระทั่งยังสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ต่อประเทศเป็นอย่างมาก
ประกาศดังกล่าวระบุต่อว่า กองบัญชาการตำรวจนครบาล จึงขอความร่วมมือมายังพ่อแม่พี่น้องประชาชน ที่มาร่วมชุมนุม ได้โปรดใช้วิจารณญาณในการเข้าร่วมชุมนุม ในทางการเมือง ให้ใช้สิทธิการชุมนุมภายใต้กรอบของกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาทางการเมือง ต้องแก้ด้วยวิถีทางการเมือง โดยกระบวนการทางรัฐสภา ไม่ใช่ใช้ความรุนแรง หรือทำการละเมิดกฎหมาย จึงแจ้งเตือนมายังท่าน อย่าได้หลงเชื่อคำยุยง ปลุกปั่น และขอได้โปรดให้ความร่วมมือกับทางราชการเดินทางออกจากสถานที่ราชการที่ท่านได้บุกรุกเข้ามาโดยทันที เมื่อรับทราบประกาศนี้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความจำเป็นจะต้องบังคับใช้กฎหมาย กับผู้ที่กระทำการฝ่าฝืน และไม่ให้ความร่วมมือกับทางราชการในโอกาสต่อไป
จึงแจ้งมาเพื่อโปรดทราบ
กองบัญชาการตำรวจนครบาล
26 สิงหาคม 2551
พล.ต.ต.สุรพล กล่าวต่อว่า หากผู้ร่วมชุมนุมกลับไปชุมนุมที่สะพานมัฆวาน หรือไม่ใช่สถานที่ราชการ ก็สามารถทำได้ตามสิทธิตามรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ ยังยืนยันเช่นเดิมว่า หลังเวลา 18.00 น.กลุ่มผู้ชุมนุมต้องออกจากทำเนียบ ไม่เช่นนั้นตำรวจจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย
“พรุ่งนี้ ตำรวจจะดำเนินการเตรียมขออนุมัติหมายจับ 5 แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ โดยแจ้ง 2 ข้อหา ตาม ป.วิอาญา 215-216 โดยทั้งหมด มีการรวบรวมพยานหลักฐาน ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา จนถึงวันที่ 26 ส.ค.นี้” พล.ต.ต.สุรพล กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก บก.น.1-9 บก.ตปพ. หน่วยอรินทราช คอมมานโดกองปราบปราม คอมมานโดตำรวจตระเวนชายแดน ตำรวจภูธรภาค 1,2 และ 7 ทั้งสิ้นจำนวน 27 กองร้อย รวม 4,050 นาย
นอกจากนี้ยังมีกำลังสนับสนุนอีกจำนวนหนึ่ง โดยเข้าจุดโดยรอบทำเนียบรัฐบาลจำนวน 4 จุด คือ แยกวัดเบญจมบพิตร แยกมิกสกวัน สะพานชมัยมรุเชษฐ สะพานอรทัย ซึ่งแต่ละจุดใช้กำลังเจ้าหน้าที่จำนวนไม่เท่ากันโดยจะแบ่งตามจุดที่มีความสำคัญหนาแน่นของกลุ่มผู้ชุมนุม
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก ตำรวจที่ควบคุมการชุมนุม และไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล กล่าวว่า ล่าสุด เวลา 18.20 น.ทางตำรวจยังไม่ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ เข้าสลายการชุมนุมแต่อย่างใด ส่วนความเป็นไปได้ หากมีคำสั่งให้สลายการชุมนุม ทางตำรวจมีแผนจะใช้ ตำรวจนอกเครื่องแบบ ซึ่งฝังตัวอยู่กับ กลุ่มผู้ชุมนุม เป็นทัพหน้าในการสลายการชุมนุม โดยมุ่งไปที่ตัวระดับแกนนำ เพื่อควบคุมตัว โดยไม่ได้เน้นการจับกุมประชาชน แต่หากมีเหตุความวุ่นวายเกิดขึ้น ก็จะใช้ตำรวจปราบจราจลและแก๊สน้ำตา เข้าสลายการชุมนุมในลำดับต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ตำรวจยืนยันว่า จะพยายามใช้การเจรจาต่อรอง เป็นสำคัญ และพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง
อีกครั้งว่า พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย เป็นผู้ควบคุมและตัดสินใจในการสั่งการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทำให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ เราต้องเข้าใจว่ากลุ่มผู้ชุมนุมได้ทำความผิดมานานแล้วตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมาหากปล่อยไว้จะทำให้เกิดการเลียนแบบตำรวจจึงต้องทำอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้เป็นไปตามข้อกฎหมายอย่างชัดเจน ส่วนการสลายการชุมนุมนั้นตอนนี้ยังตอบไม่ได้ว่าจะดำเนินการหรือไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ต้องทำไปตามขั้นตอนเริ่มจากการเจรจา การออกแถลงการณ์ชี้แจงทำความเข้าใจ การประกาศเตือนให้เคลื่อนย้ายออกจากบริเวณที่เข้าไปยึดพื้นที่โดยให้ออกจากสถานที่ราชการในเวลา 18.00 น.ที่ผ่านมานับเป็นการดำเนินการขั้นตอนที่ 1 ตามแผนกรกฎ 48 เท่านั้น ยังไม่ไปถึงขั้นตอนสุดท้ายที่ต้องสลายการชุมนุม ที่ผ่านมาถือว่า ตำรวจได้แจ้งเตือนแล้ว ห ากใครยังดื้อดึงอยู่ในสถานที่ราชการนั้นๆ ถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมายตำรวจคงปล่อยไว้ไม่ได้ต้องถูกจับกุมดำเนินคดีอย่างแน่นอน
ด้านนายศุภชัย ใจสมุทร เลขานุการ รมว.มหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า มท. 1 ได้สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด โดยเฉพาะ จ.นครราชสีมา พิจิตร ชุมพร ทำความเข้าใจกับประชาชนหากให้ทำการสลายการชุมนุม เชื่อว่าวันพรุ่งนี้จะคลี่คลายไปในทางที่ดี ส่วนพื้นที่ กทม.นั้นเป็นหน้าที่ของตำรวจนครบาลที่ต้องควบคุมดูแลสำหรับผู้ที่ถูกจับกุมในช่วงเช้าพบว่า หลายคนพยายามที่จะแจ้งชื่อนามสกุลปลอมกับพนักงานสอบสวนแต่ก็ไม่สามารถทำได้ จากการตรวจสอบพบว่า มีหลายรายที่ถูกหลอกให้เดินทางมาจากต่างจังหวัดชักชวนมาเที่ยวใน กทม. หลายรายไม่รู้เรื่องกับการชุมนุมครั้งนี้ แต่เมื่อทำผิดกฎหมายตำรวจก็ต้องปฏิบัติตามหน้าที่
วันนี้ (26 ส.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกตำรวจ ได้นำประกาศของ บช.น.มาแจ้งแก่สื่อมวลชน โดยประกาศดังกล่าวระบุว่า ประกาศเตือนครั้งสุดท้ายของ บช.น.การที่กลุ่มพันธมิตรฯ ได้จัดให้มีการชุมนุมในทางการเมือง อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.จนถึงวันนี้ กลุ่มแกนนำผู้ชุมนุมได้แบ่งหน้าที่กันนำผู้ชุมนุมเข้าทำการบุกรุกสถานที่ราชการ ก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองหลายแห่ง เช่น ทำเนียบรัฐบาล กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที เป็นต้น ซึ่งสถานที่ดังกล่าวเป็นสถานที่สำคัญในการใช้เป็นสถานที่บริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหาร และถือเป็นหน้าตาของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเป็นการเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันควร หรือเข้าไปเพื่อขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยแล้ว ก็จะเป็นความผิดในทางอาญา กระทั่งยังสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ต่อประเทศเป็นอย่างมาก
ประกาศดังกล่าวระบุต่อว่า กองบัญชาการตำรวจนครบาล จึงขอความร่วมมือมายังพ่อแม่พี่น้องประชาชน ที่มาร่วมชุมนุม ได้โปรดใช้วิจารณญาณในการเข้าร่วมชุมนุม ในทางการเมือง ให้ใช้สิทธิการชุมนุมภายใต้กรอบของกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาทางการเมือง ต้องแก้ด้วยวิถีทางการเมือง โดยกระบวนการทางรัฐสภา ไม่ใช่ใช้ความรุนแรง หรือทำการละเมิดกฎหมาย จึงแจ้งเตือนมายังท่าน อย่าได้หลงเชื่อคำยุยง ปลุกปั่น และขอได้โปรดให้ความร่วมมือกับทางราชการเดินทางออกจากสถานที่ราชการที่ท่านได้บุกรุกเข้ามาโดยทันที เมื่อรับทราบประกาศนี้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความจำเป็นจะต้องบังคับใช้กฎหมาย กับผู้ที่กระทำการฝ่าฝืน และไม่ให้ความร่วมมือกับทางราชการในโอกาสต่อไป
จึงแจ้งมาเพื่อโปรดทราบ
กองบัญชาการตำรวจนครบาล
26 สิงหาคม 2551
พล.ต.ต.สุรพล กล่าวต่อว่า หากผู้ร่วมชุมนุมกลับไปชุมนุมที่สะพานมัฆวาน หรือไม่ใช่สถานที่ราชการ ก็สามารถทำได้ตามสิทธิตามรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ ยังยืนยันเช่นเดิมว่า หลังเวลา 18.00 น.กลุ่มผู้ชุมนุมต้องออกจากทำเนียบ ไม่เช่นนั้นตำรวจจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย
“พรุ่งนี้ ตำรวจจะดำเนินการเตรียมขออนุมัติหมายจับ 5 แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ โดยแจ้ง 2 ข้อหา ตาม ป.วิอาญา 215-216 โดยทั้งหมด มีการรวบรวมพยานหลักฐาน ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา จนถึงวันที่ 26 ส.ค.นี้” พล.ต.ต.สุรพล กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก บก.น.1-9 บก.ตปพ. หน่วยอรินทราช คอมมานโดกองปราบปราม คอมมานโดตำรวจตระเวนชายแดน ตำรวจภูธรภาค 1,2 และ 7 ทั้งสิ้นจำนวน 27 กองร้อย รวม 4,050 นาย
นอกจากนี้ยังมีกำลังสนับสนุนอีกจำนวนหนึ่ง โดยเข้าจุดโดยรอบทำเนียบรัฐบาลจำนวน 4 จุด คือ แยกวัดเบญจมบพิตร แยกมิกสกวัน สะพานชมัยมรุเชษฐ สะพานอรทัย ซึ่งแต่ละจุดใช้กำลังเจ้าหน้าที่จำนวนไม่เท่ากันโดยจะแบ่งตามจุดที่มีความสำคัญหนาแน่นของกลุ่มผู้ชุมนุม
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก ตำรวจที่ควบคุมการชุมนุม และไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล กล่าวว่า ล่าสุด เวลา 18.20 น.ทางตำรวจยังไม่ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ เข้าสลายการชุมนุมแต่อย่างใด ส่วนความเป็นไปได้ หากมีคำสั่งให้สลายการชุมนุม ทางตำรวจมีแผนจะใช้ ตำรวจนอกเครื่องแบบ ซึ่งฝังตัวอยู่กับ กลุ่มผู้ชุมนุม เป็นทัพหน้าในการสลายการชุมนุม โดยมุ่งไปที่ตัวระดับแกนนำ เพื่อควบคุมตัว โดยไม่ได้เน้นการจับกุมประชาชน แต่หากมีเหตุความวุ่นวายเกิดขึ้น ก็จะใช้ตำรวจปราบจราจลและแก๊สน้ำตา เข้าสลายการชุมนุมในลำดับต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ตำรวจยืนยันว่า จะพยายามใช้การเจรจาต่อรอง เป็นสำคัญ และพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง
อีกครั้งว่า พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย เป็นผู้ควบคุมและตัดสินใจในการสั่งการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทำให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ เราต้องเข้าใจว่ากลุ่มผู้ชุมนุมได้ทำความผิดมานานแล้วตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมาหากปล่อยไว้จะทำให้เกิดการเลียนแบบตำรวจจึงต้องทำอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้เป็นไปตามข้อกฎหมายอย่างชัดเจน ส่วนการสลายการชุมนุมนั้นตอนนี้ยังตอบไม่ได้ว่าจะดำเนินการหรือไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ต้องทำไปตามขั้นตอนเริ่มจากการเจรจา การออกแถลงการณ์ชี้แจงทำความเข้าใจ การประกาศเตือนให้เคลื่อนย้ายออกจากบริเวณที่เข้าไปยึดพื้นที่โดยให้ออกจากสถานที่ราชการในเวลา 18.00 น.ที่ผ่านมานับเป็นการดำเนินการขั้นตอนที่ 1 ตามแผนกรกฎ 48 เท่านั้น ยังไม่ไปถึงขั้นตอนสุดท้ายที่ต้องสลายการชุมนุม ที่ผ่านมาถือว่า ตำรวจได้แจ้งเตือนแล้ว ห ากใครยังดื้อดึงอยู่ในสถานที่ราชการนั้นๆ ถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมายตำรวจคงปล่อยไว้ไม่ได้ต้องถูกจับกุมดำเนินคดีอย่างแน่นอน
ด้านนายศุภชัย ใจสมุทร เลขานุการ รมว.มหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า มท. 1 ได้สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด โดยเฉพาะ จ.นครราชสีมา พิจิตร ชุมพร ทำความเข้าใจกับประชาชนหากให้ทำการสลายการชุมนุม เชื่อว่าวันพรุ่งนี้จะคลี่คลายไปในทางที่ดี ส่วนพื้นที่ กทม.นั้นเป็นหน้าที่ของตำรวจนครบาลที่ต้องควบคุมดูแลสำหรับผู้ที่ถูกจับกุมในช่วงเช้าพบว่า หลายคนพยายามที่จะแจ้งชื่อนามสกุลปลอมกับพนักงานสอบสวนแต่ก็ไม่สามารถทำได้ จากการตรวจสอบพบว่า มีหลายรายที่ถูกหลอกให้เดินทางมาจากต่างจังหวัดชักชวนมาเที่ยวใน กทม. หลายรายไม่รู้เรื่องกับการชุมนุมครั้งนี้ แต่เมื่อทำผิดกฎหมายตำรวจก็ต้องปฏิบัติตามหน้าที่