ศาลยกฟ้อง คดี “เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส” อดีต ผบ.ตร.ฟ้อง “ปอ ประตูน้ำ” หมิ่นให้ข่าวสื่อมวลชน ว่า ถูกคนร้ายติดตามข่มขู่ คุมคาม หลังมีเรื่องฟ้องร้องกันในชั้นศาล
วันนี้ (16 ก.ค.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอาญายกฟ้องคดี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร.เป็นโจทก์ฟ้อง นายไพจิตร ธรรมโรจน์พินิจ จำเลยกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทและแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน
คดีนี้โจทก์ฟ้องเมื่อ 13 มี.ค.2550 สรุปว่า จำเลยได้หมิ่นประมาทโจทก์โดยการโฆษณาในหนังสือพิมพ์ โดยให้ข่าวต่อสื่อมวลชน ว่า หลังจากจำเลยฟ้องโจทก์ต่อศาลอาญา ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ บุกรุกทำให้เสียทรัพย์แล้ว จำเลยและพยานกลับถูกบุคคลคุกคามข่มขู่ จนพยานเกิดความกลัวและไม่กล้าไปเป็นพยานที่ศาล ซึ่งเป็นการบีบบังคับให้จำเลยถอนฟ้องหรือทำให้รูปคดีเกิดความเสียหาย ซึ่งเชื่อว่าเป็นการกระทำของโจทก์กับพวก จึงขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองจำเลยและขอให้ศาลสั่งถอนประกันโจทก์กับพวก นอกจากนี้ จำเลยยังได้ทำหนังสือร้องเรียนถึงคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ว่า โจทก์คุกคามข่มขู่จำเลยและพยาน เพื่อให้สื่อมวลชนนำไปเผยแพร่จึงเป็นการทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง ส่วนจำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยได้มายื่นคำร้องขอคุ้มครองพยานต่อศาลอาญาเมื่อยื่นเสร็จแล้วได้ไปให้ข่าวต่อสื่อมวลชนที่ชั้นล่างศาลอาญา หลังจากนั้นไปยื่นร้องขอความเป็นธรรมที่ (ก.ต.ช.) และให้ข่าวต่อสื่อมวลชนอีกครั้ง แม้โจทก์จะมี พ.ต.อ.ระพีพงษ์ สุพรศรี พยานโจทก์เบิกความยืนยันจำเลยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ 5 ฉบับจริง แต่ในวันเกิดเหตุ พ.ต.อ.ระพีพงษ์ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ขณะที่อ้างว่าจำเลยให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าว แต่เป็นการรับฟังข่าวทางโทรทัศน์แสดงให้เห็นว่าพยานโจทก์ปากนี้ ไม่อาจยืนยันได้ว่าข้อความที่จำเลยกล่าวเป็นความจริง นอกจากนี้ตัวโจทก์ก็เบิกความว่าทนายโจทก์ไม่ได้รายงานให้ทราบว่าจำเลยยื่นคำร้องขอคุ้มครองพยานแสดงให้เห็นว่าตัวโจทก์ก็ไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์ตามที่อ้างว่าจำเลยได้ให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด พยานหลักฐานเท่าที่โจทก์นำสืบไม่มีพยานปากใดยืนยันให้ฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวที่ศาลอาญา จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยใส่ความโจทก์ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทและจำเลยไม่มีเจตนาแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน จึงพิพากษายกฟ้อง
วันนี้ (16 ก.ค.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอาญายกฟ้องคดี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร.เป็นโจทก์ฟ้อง นายไพจิตร ธรรมโรจน์พินิจ จำเลยกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทและแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน
คดีนี้โจทก์ฟ้องเมื่อ 13 มี.ค.2550 สรุปว่า จำเลยได้หมิ่นประมาทโจทก์โดยการโฆษณาในหนังสือพิมพ์ โดยให้ข่าวต่อสื่อมวลชน ว่า หลังจากจำเลยฟ้องโจทก์ต่อศาลอาญา ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ บุกรุกทำให้เสียทรัพย์แล้ว จำเลยและพยานกลับถูกบุคคลคุกคามข่มขู่ จนพยานเกิดความกลัวและไม่กล้าไปเป็นพยานที่ศาล ซึ่งเป็นการบีบบังคับให้จำเลยถอนฟ้องหรือทำให้รูปคดีเกิดความเสียหาย ซึ่งเชื่อว่าเป็นการกระทำของโจทก์กับพวก จึงขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองจำเลยและขอให้ศาลสั่งถอนประกันโจทก์กับพวก นอกจากนี้ จำเลยยังได้ทำหนังสือร้องเรียนถึงคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ว่า โจทก์คุกคามข่มขู่จำเลยและพยาน เพื่อให้สื่อมวลชนนำไปเผยแพร่จึงเป็นการทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง ส่วนจำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยได้มายื่นคำร้องขอคุ้มครองพยานต่อศาลอาญาเมื่อยื่นเสร็จแล้วได้ไปให้ข่าวต่อสื่อมวลชนที่ชั้นล่างศาลอาญา หลังจากนั้นไปยื่นร้องขอความเป็นธรรมที่ (ก.ต.ช.) และให้ข่าวต่อสื่อมวลชนอีกครั้ง แม้โจทก์จะมี พ.ต.อ.ระพีพงษ์ สุพรศรี พยานโจทก์เบิกความยืนยันจำเลยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ 5 ฉบับจริง แต่ในวันเกิดเหตุ พ.ต.อ.ระพีพงษ์ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ขณะที่อ้างว่าจำเลยให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าว แต่เป็นการรับฟังข่าวทางโทรทัศน์แสดงให้เห็นว่าพยานโจทก์ปากนี้ ไม่อาจยืนยันได้ว่าข้อความที่จำเลยกล่าวเป็นความจริง นอกจากนี้ตัวโจทก์ก็เบิกความว่าทนายโจทก์ไม่ได้รายงานให้ทราบว่าจำเลยยื่นคำร้องขอคุ้มครองพยานแสดงให้เห็นว่าตัวโจทก์ก็ไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์ตามที่อ้างว่าจำเลยได้ให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด พยานหลักฐานเท่าที่โจทก์นำสืบไม่มีพยานปากใดยืนยันให้ฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวที่ศาลอาญา จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยใส่ความโจทก์ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทและจำเลยไม่มีเจตนาแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน จึงพิพากษายกฟ้อง