ผู้กำกับสถานีตำรวจนครบาลพลับพลาไชย 2 เผย มีอาสาสมัครกู้ภัยอีก 9 คน ที่อาจจะมีส่วนร่วมรู้เห็นกับผู้ต้องหาที่ฉกบัตรเครติดของผู้เสียหายในเหตุเพลิงไหม้ไปรูดสินค้า วอนมูลนิธิกู้ภัยต่างๆ สกรีนคนเข้ามาเป็นอาสาสมัคร และจัดทำประวัติให้เรียบร้อย
วันนี้ (11 ก.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น.พ.ต.อ.ธีระพงษ์ คล้ายแก้ว ผกก.สน.พลับพลาไชย 2 เปิดเผยถึงคดีที่นายเอกอัมรินทร์ อุราเลิศ อายุ 26 ปี อาสาสมัครกู้ภัยศูนย์พญาอินทรี รหัส eagle 119 ตกเป้นผู้ต้องหา ลักทรัพย์ในบริเวณที่มีเหตุเพลิงไหม้ และข้อหาใช้บัตรเครดิตของผู้อื่นโดยมิชอบ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากเหตุเพลิงไหม้ห้องพักคอนโดหรูสี่พระยาริเวอร์วิว ว่า คดีดังกล่าวหลังจากได้รับแจ้งเหตุจากผู้เสียหาย ทางเจ้าหน้าที่ ตร.ได้ทำการประสานกับห้างสรรพสินค้าที่เกิดเหตุย่านพระราม 4 ที่ผู้ต้องหาได้นำบัตรเครดิตของผู้เสียหายไปรูดซื้อสินค้า พบว่าหลังจากผู้ต้องหาได้บัตรเครดิตของผู้เสียหายก็นำไปรูดซื้อสินค้าที่ห้างดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน 28,000 บาท โดยที่ไม่ให้ผู้เสียหายตั้งตัว และมีโอกาสตรวจสอบและอายัดบัตร ซึ่งถือว่าเป็นการซ้ำเติมผู้ที่เดือดร้อนอยู่แล้วอย่างไร้คุณธรรม ซึ่งทางตำรวจจะต้องเร่งดำเนินการจับกุมมาให้ได้ โดยได้มีการประสานขอดูภาพจากทีวีวงจรปิดในแผนกซุปเปอร์มาเก๊ตของห้างสามารถจับภาพของ นายเอกอัมรินทร์ อุราเลิศ อายุ 26 ปี ซึ่งเป็นอาสาสมัครศูนย์พญาอินทรี รหัสอีเกิล 119 เป็นผู้เข้ามาใช้บัตรเครดิต หมายเลข 444850020013117 ไปรูดสินค้า ในเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญตัว นายเดชฤทธิ์ แสนเยีย พนักงานขายที่เข้ากะประจำช่องจ่ายเงินในวันและเวลาเกิดเหตุที่ผู้ต้องหานำมารูดมาสอบปากคำ พร้อมกับให้ชี้รูปของผู้ต้องหาเพื่อเป็นการยืนยันว่า บุคคลในภาพทีวีวงจรปิดเป็นคนเดียวกับผู้ต้องหา แล้วนำรูปที่ได้จากทีวีวงจรปิดไปให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยกู้ภัยดูเพื่อสอบถามรายละเอียดของผู้ต้องหาซึ่งก็ไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร พร้อมกับรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด เพื่อของอำนาจศาลออกหมายจับผู้ต้องหาดังกล่าว
“สำหรับเบาะแสของผู้ต้องหานั้นขณะนี้ ผมได้สั่งการให้ฝ่ายสืบสวนออกติดตามตัวผู้ต้องหาแล้ว ในเบื้องต้นทราบว่าผู้ต้องหาหลบหนีไปกบดานอยู่ที่ต่างจังหวัด ขณะเดียวกัน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังสงสัยว่าผู้ต้องหาคงไม่ได้ลงมือก่อเหตุเพียงคนเดียว เนื่องจากพยานยืนยันว่าในวันเกิดเหตุพบกลุ่มเจ้าหน้าที่อาสาหน่วยกู้ภัยหน่วยงานดังกล่าวอีก 9 คน อยู่ในห้องที่เกิดเหตุด้วย ซึ่งคาดว่าน่าจะมีส่วนรู้เห็นในการลงมือก่อเหตุในครั้งนี้ด้วย แต่ยังไม่ทราบว่าแบ่งหน้าที่กันอย่างไร” พ.ต.อ.ธีระพงษ์ กล่าว
พ.ต.อ.ธีระพงษ์ กล่าวต่อว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องจับกุมตัว นายเอกอัมรินทร์ ให้ได้เสียก่อน จึงจะสามารถขยายผลติดตามจับกุมต่อได้อีก ส่วนทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตที่หายไปนั้น พอจะทราบอยู่ แต่ขณะนี้ยังเป็นการกล่าวลอยๆ ไม่มีผู้เสียหาหรือญาติของผู้สียชีวิตเดินทางเข้าแจ้งความและให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ คาดว่า ยังคงมีอาการเศร้าโศกและคงต้องใช้เวลาสักระยะในการตรวจสอบทรัพย์สิน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าทรัพย์สินที่หายไปน่าจะเป็นทรัพย์สินที่ติดตัวอยู่กับผู้เสียชีวิต ไม่น่าจะเกี่ยวกับทรัพย์สินที่อยู่ในตู้เชฟ เพราะการเคลื่อนย้ายและเปิดตู้เซฟหน้าจะทำได้ยาก แต่หากมั่นใจว่ามีทรัพย์สินรายใดที่เก็บไว้ในตู้เซฟหายไปจริงก็ขอให้ แจ้งกับเจ้าหน้าที่ตร.ได้ตลอดเวลาซึ่งเจ้าหน้าที่ก็จะได้ดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ต้องหาและผู้ต้องสงสัยรายอื่นทันที่
“ขอให้บุคคใดที่รู้เบาะแสของผู้ต้องหาขอความร่วมมือแจ้งข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนผู้ที่ร่วมลงมือก่อเหตุด้วยนั้นขอให้เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมทั้งอยากฝากไปยังหน่วยกู้ภัยและมูลนิธิต่างๆ ช่วยสกรีนบุคลากรที่สมัครเข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่ ตลอดทั้งขอให้มีการทำประวัติ และบัตรประจำตัวเพื่อแสองว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากสังกัดใด เพื่อให้ง่ายในการตรวจสอบเมื่อเกิดเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้ขึ้นอีก” พ.ต.อ.ธีระพงษ์ กล่าว