“ถ้าสั่งให้หยุด แต่เขาไม่หยุด พยายามฝ่าเข้ามา เราจะใช้กำลังเจ้าหน้าที่สกัดกั้น ใช้รถยนต์ขัดขวาง เมื่อเขาฝ่ามาถือว่าฝ่าฝืนและก่อให้เกิดความวุ่นวายแล้ว ตำรวจก็สามารถใช้อุปกรณ์พิเศษ อาทิ รถดับเพลิงฉีดน้ำ หรืออาจตัดสินใจใช้แก๊สน้ำตา ซึ่งขึ้นอยู่ที่สถานการณ์ของความรุนแรง” นี่คือคำประกาศกร้าวของ พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง กระบอกเสียงรัฐตำรวจ
เขายัง..ยังขู่ประชาชนผู้เสียภาษีจ่ายค่าเงินเดือนให้เขาอีกว่า
“เราต้องป้องกันไม่ให้กลุ่มพันมิตรฯเคลื่อนขบวนไปหน้าทำเนียบฯ ไปไม่ได้ ถ้าฝ่าฝืน เราต้องดำเนินคดีกันไป เราจะพยายามไม่ให้เกิดปัญหา หากเขาต้องการให้เกิดความรุนแรงทางเราก็จะใช้การป้องกันสกัดกั้นทุกวิถีทาง นอกจากนี้จะใช้กฎหมายมาดำเนินการด้วย”
หากใช้หัวใจที่เป็นธรรมพิจารณาพบว่า “ทำเนียบรัฐบาล” นั้น ถือเป็นสมบัติส่วนรวมของชาติ ไม่ใช่สมบัติของใครคนใดคนหนึ่ง หรือตระกูลใดตระกูลหนึ่ง และที่สำคัญไม่ใช่สมบัติของ “นายสมัครและพวก” ทำไมตำรวจจึงกระเหี้ยนกระหือรือห้ามไม่ให้ผู้ชุมนุมไปยื่นหนังสือที่หน้าทำเนียบ อีกทั้งทางแกนนำพันธมิตรฯก็ออกมายืนยันแล้วว่าจะไม่มีการบุกเข้าไปในทำเนียบอย่างแน่นอน แต่รัฐตำรวจออกมายืนยันนั่งยันนอนยันว่าไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนไปอย่างเด็ดขาด เอาใจรัฐบาลกันจนออกนอกหน้า ทั้งๆ ที่กินเงินเดือนของประชาชน
“นอกจากนี้ มีกระแสข่าวลือตลอดเวลาว่าตำรวจพร้อมอุปกรณ์ปราบม็อบครบมือเตรียมสลายผู้ชุมนุมที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยอาจลงมือช่วงเช้ามืดเพราะคนเริ่มน้อยและอ่อนเปลี้ยเพลียแรง”
กำลังตำรวจปราบปรามจลาจลของกองบัญชาการตำรวจนครบาลและหน่วยคอมมานโด ของกองปราบปราม เคลื่อนไหวผิดสังเกต ซึ่งเป็นที่รู้โดยทั่วกันว่าตำรวจสองหน่วยนี้ถูกฝึกมาปราบปรามผู้ชุมนุมโดยเฉพาะ ขนาด พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มถึงกับกระโจนลงจากเวทีไปนั่งท่ามกลางกลุ่มผู้ชุมนุมและสั่งการให้ รปภ.พันธมิตรฯ เตรียมพร้อม เนื่องจากเป็นไปได้ที่จะมีการชิงสลายม็อบก่อนเสียงนกหวีดสั่งดีเดย์บุกทำเนียบรัฐบาล
ทางด้านทำเนียบรัฐบาลก็เต็มไปด้วยความตึงเครียด นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้เรียก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ แม่ทัพสีกากี มาหารือเพื่อเตรียมกำลังให้พร้อม โดย พล.ต.อ.พัชรวาท รอเพียงคำสั่งจากนายสมัครว่าให้จัดการสลายการชุมนุมเท่านั้น
พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวภายหลังประชุมว่าได้เน้นย้ำให้หลีกเลี่ยงการปะทะ การใช้ความรุนแรง ขอยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีนโยบายการสลายการชุมนุม แต่มีหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้ดีที่สุด ส่วนนายกรัฐมนตรีนั้นขณะนี้ไม่ได้สั่งกำชับอะไรเป็นพิเศษในการเคลื่อนขบวนของผู้ชุมนุม แต่ย้ำให้ตำรวจใช้ความอดทนอดกลั้นให้มากที่สุดเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่ามีการใช้ตำรวจเป็นกำลังหลัก โดยเตรียมเจ้าหน้าที่ ปราบปรามจลาจล ของ นครบาลและหน่วยคอมมานโด ของกองปราบปราม 20 กองร้อย รวม 3,000 นาย และเตรียมกำลังตำรวจจากกองบัญชาการสอบสวนกลาง ตำรวจภูธรภาค 1, 2, 7 ตำรวจตระเวนชายแดน และตำรวจสันติบาล อีก 3,000 นายไว้ ณ ที่ตั้ง เตรียมพร้อมตลอดเวลา นอกจากนี้ยังเตรียมพนักงานสอบสวนไว้ 200 นาย และรถบรรทุกผู้ต้องหากว่า 100 คัน ส่วนสถานที่ควบคุมตัวกลุ่มผู้ชุมนุมนั้นทางเจ้าหน้าที่ได้เตรียม โรงเรียนพลตำรวจนครบาลบางเขนเนื่องจากสามารถคุมขังคนได้หลายพันคน และที่ผ่านมาทั้ง เหตุการณ์ 14 ตุลา และพฤษภาทมิฬ สถานที่ดังกล่าวเป็นสถานที่หลักที่ใช้คุมขังกลุ่มนักศึกษาและประชาชนที่ถูกเจ้าหน้าที่กวาดล้างจับกุม
หากพินิจพิเคราะห์ดูการเตรียมกำลังของตำรวจแล้วหลายฝ่ายคาดการณ์ว่ามาตรการสลายการชุมนุมน่าจะถูกนำมาใช้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ว่าจะยอมก้มหัวรับใช้รัฐบาลทรราชปราบปรามประชาชนผู้รักชาติ รักแผ่นดิน หรือจะวางอาวุธชั่วคราวออกมายืนข้างประชาชน
เขายัง..ยังขู่ประชาชนผู้เสียภาษีจ่ายค่าเงินเดือนให้เขาอีกว่า
“เราต้องป้องกันไม่ให้กลุ่มพันมิตรฯเคลื่อนขบวนไปหน้าทำเนียบฯ ไปไม่ได้ ถ้าฝ่าฝืน เราต้องดำเนินคดีกันไป เราจะพยายามไม่ให้เกิดปัญหา หากเขาต้องการให้เกิดความรุนแรงทางเราก็จะใช้การป้องกันสกัดกั้นทุกวิถีทาง นอกจากนี้จะใช้กฎหมายมาดำเนินการด้วย”
หากใช้หัวใจที่เป็นธรรมพิจารณาพบว่า “ทำเนียบรัฐบาล” นั้น ถือเป็นสมบัติส่วนรวมของชาติ ไม่ใช่สมบัติของใครคนใดคนหนึ่ง หรือตระกูลใดตระกูลหนึ่ง และที่สำคัญไม่ใช่สมบัติของ “นายสมัครและพวก” ทำไมตำรวจจึงกระเหี้ยนกระหือรือห้ามไม่ให้ผู้ชุมนุมไปยื่นหนังสือที่หน้าทำเนียบ อีกทั้งทางแกนนำพันธมิตรฯก็ออกมายืนยันแล้วว่าจะไม่มีการบุกเข้าไปในทำเนียบอย่างแน่นอน แต่รัฐตำรวจออกมายืนยันนั่งยันนอนยันว่าไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนไปอย่างเด็ดขาด เอาใจรัฐบาลกันจนออกนอกหน้า ทั้งๆ ที่กินเงินเดือนของประชาชน
“นอกจากนี้ มีกระแสข่าวลือตลอดเวลาว่าตำรวจพร้อมอุปกรณ์ปราบม็อบครบมือเตรียมสลายผู้ชุมนุมที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยอาจลงมือช่วงเช้ามืดเพราะคนเริ่มน้อยและอ่อนเปลี้ยเพลียแรง”
กำลังตำรวจปราบปรามจลาจลของกองบัญชาการตำรวจนครบาลและหน่วยคอมมานโด ของกองปราบปราม เคลื่อนไหวผิดสังเกต ซึ่งเป็นที่รู้โดยทั่วกันว่าตำรวจสองหน่วยนี้ถูกฝึกมาปราบปรามผู้ชุมนุมโดยเฉพาะ ขนาด พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มถึงกับกระโจนลงจากเวทีไปนั่งท่ามกลางกลุ่มผู้ชุมนุมและสั่งการให้ รปภ.พันธมิตรฯ เตรียมพร้อม เนื่องจากเป็นไปได้ที่จะมีการชิงสลายม็อบก่อนเสียงนกหวีดสั่งดีเดย์บุกทำเนียบรัฐบาล
ทางด้านทำเนียบรัฐบาลก็เต็มไปด้วยความตึงเครียด นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้เรียก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ แม่ทัพสีกากี มาหารือเพื่อเตรียมกำลังให้พร้อม โดย พล.ต.อ.พัชรวาท รอเพียงคำสั่งจากนายสมัครว่าให้จัดการสลายการชุมนุมเท่านั้น
พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวภายหลังประชุมว่าได้เน้นย้ำให้หลีกเลี่ยงการปะทะ การใช้ความรุนแรง ขอยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีนโยบายการสลายการชุมนุม แต่มีหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้ดีที่สุด ส่วนนายกรัฐมนตรีนั้นขณะนี้ไม่ได้สั่งกำชับอะไรเป็นพิเศษในการเคลื่อนขบวนของผู้ชุมนุม แต่ย้ำให้ตำรวจใช้ความอดทนอดกลั้นให้มากที่สุดเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่ามีการใช้ตำรวจเป็นกำลังหลัก โดยเตรียมเจ้าหน้าที่ ปราบปรามจลาจล ของ นครบาลและหน่วยคอมมานโด ของกองปราบปราม 20 กองร้อย รวม 3,000 นาย และเตรียมกำลังตำรวจจากกองบัญชาการสอบสวนกลาง ตำรวจภูธรภาค 1, 2, 7 ตำรวจตระเวนชายแดน และตำรวจสันติบาล อีก 3,000 นายไว้ ณ ที่ตั้ง เตรียมพร้อมตลอดเวลา นอกจากนี้ยังเตรียมพนักงานสอบสวนไว้ 200 นาย และรถบรรทุกผู้ต้องหากว่า 100 คัน ส่วนสถานที่ควบคุมตัวกลุ่มผู้ชุมนุมนั้นทางเจ้าหน้าที่ได้เตรียม โรงเรียนพลตำรวจนครบาลบางเขนเนื่องจากสามารถคุมขังคนได้หลายพันคน และที่ผ่านมาทั้ง เหตุการณ์ 14 ตุลา และพฤษภาทมิฬ สถานที่ดังกล่าวเป็นสถานที่หลักที่ใช้คุมขังกลุ่มนักศึกษาและประชาชนที่ถูกเจ้าหน้าที่กวาดล้างจับกุม
หากพินิจพิเคราะห์ดูการเตรียมกำลังของตำรวจแล้วหลายฝ่ายคาดการณ์ว่ามาตรการสลายการชุมนุมน่าจะถูกนำมาใช้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ว่าจะยอมก้มหัวรับใช้รัฐบาลทรราชปราบปรามประชาชนผู้รักชาติ รักแผ่นดิน หรือจะวางอาวุธชั่วคราวออกมายืนข้างประชาชน
