สาวเจ้าของห้องเช่าเมียผู้ต้องหางัดตู้เซฟ 60 ล้าน ร้องตำรวจพลับพลาไชย 2 บุกค้นบ้านโดยไม่มีหมายค้น ยึดทรัพย์สินอดีตสามีที่เสียชีวิตไปแล้วหลายรายการ แถมทำร้ายร่างกายหลานชายพิการ ผกก.ยันตำรวจทำตามกฎหมาย ตรวจค้นเพราะสงสัยเกี่ยวข้องคดีลักทรัพย์ ไม่ผิดจริงอย่าร้อนตัวรับปากติดตามทรัพย์ของกลางคืนให้เร็วที่สุด
วานนี้ (27 พ.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น.นางสาคร คงบุญวาส อายุ 37 ปี เจ้าของธุรกิจห้องเช่า อยู่บ้านเลขที่ 231/39 ซ.วัดดวงแข ถ.รองเมือง แขวงและเขตรองเมือง กทม.พร้อมนายสุรศักดิ์ ถิรไพจิตร อายุ 19 ปี บุตรชาย, นายวีระพงษ์ วงอินตา อายุ 21 ปี หลานชายซึ่งพิการขาลีบทั้ง 2 ข้าง และทนายความ เข้าพบ พ.ต.อ.ธีระพงษ์ คล้ายแก้ว ผกก.สน.พลับพลาไชย 2 เพื่อร้องขอความเป็นธรรมว่า ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจฝ่ายสืบสวนของ สน.พลับพลาไชย 2 ค้นภายในบ้านพัก โดยใช้กำลังทำร้ายร่างกายผู้อาศัยและยึดของกลางกว่า 16 รายการ ซึ่งเป็นทรัพย์สินมรดกจากสามีที่เก่าที่เสียชีวิตไปตรวจสอบอย่างมีเงื่อนงำ
นางสาคร กล่าวว่า ตนเคยอยู่กินกับสามีเก่าภายในบ้านที่เกิดเหตุ ต่อมาสามีได้เสียชีวิต ตนจึงเป็นผู้จัดการมรดกและมีสามีใหม่ชื่อนายสมชาย ศรีอำพรรณ อายุ 31 ปี อาชีพรับซื้อของเก่า และเป็นผู้ต้องหาในข้อหาลักทรัพย์และรับของโจร ที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมหลังจากไปก่อเหตุงัดตู้เซฟที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ช.กิจเจริญ ที่ย่านถนนผดุงกรุงเกษม ได้ทรัพย์สินมา 60 ล้านบาท ทั้งนี้เมื่อวันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา หลังนายสมชายถูกจับก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.พลับพลาไชย 2 ไปดักจับลูกชายของตนช่วงบ่ายวันที่ 29 เม.ย.แล้วพาเข้าไปตรวจค้นในบ้านพักโดยไม่แสดงหมายค้นของศาล ก่อนจะยึดอาวุธปืนลูกโม่ขนาด .38 ไวน์เก่า และทรัพย์สินอื่นๆ ซึ่งเป็นมรดกของสามีเก่าไป โดยนำหมายศาลมายื่นให้ดูภายหลังในช่วงหัวค่ำของวันเดียวกัน และวันรุ่งขึ้น (30 เม.ย.) เจ้าหน้าที่ชุดเดิมยังพากันมาตรวจค้นที่บ้านอีก ครั้งนี้มีการทำร้ายร่างกายหลานชายซึ่งพิการที่ขา ต้องนั่งรถเข็น ด้วยการถีบเข้าที่หน้าอกจนหงายตึงแล้วใช้เท้าเหยียบที่คอหอย บังคับให้บอกที่ซ่อนยาบ้า ทั้งๆ ที่ในบ้านไม่มียาเสพติด และตนก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสามี และไม่ทราบเรื่องที่สามีทำเพราะสามีพักอยู่กับมารดาที่บ้านอีกหลังหนึ่ง ทั้งนี้ทรัพย์สินที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดไปทั้งหมดก็เป็นมรดกเก่าที่ตกทอดมาจากสามีเก่าของตนที่เสียชีวิตไปแล้ว
นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 29 เม.ย.เวลาประมาณ 14.00 น. ขณะที่ตนขับรถจักรยานยนต์ไปเพื่อรับประทานอาหารนอกบ้าน ระหว่างทางก็เจอเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.พลับพลาไชย 2 ประมาณ 5-6 คน มาดักตรวจจับ และเจอเงินในกระเป๋าจำนวน 900 บาท พร้อมกับถามตนว่า “มึงไปขายยามาใช่มั้ย” ตนก็ปฏิเสธไป ก่อนที่จะถูกควบคุมตัวมาที่บ้าน และตรวจยึดเอาอาวุธปืนขนาด .38 ทะเบียน กท.1804886 ของบิดาที่เสียชีวิตไป และยังยึดเอากระเป๋าที่ใส่ทรัพย์สินไปจำนวน 32 ใบ, ไม้กอล์ฟ 2 อัน ไปด้วย โดยการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ได้เจอสิ่งผิดกฎหมายใดๆ และในการตรวจค้นไม่ได้มีการแสดงหมายค้นแต่อย่างใด แต่ได้นำหมายค้นมาให้ดูภายหลังในเวลา 19.00 น.วันเดียวกัน
ด้าน นายวีระพงษ์ อายุ 21 ปี หลานชายซึ่งพิการขาลีบทั้ง 2 ข้าง กล่าวว่า วันถัดมา (30 เม.ย.) เวลา 14.30 น. ทางเจ้าหน้าที่ชุดเดิมก็มาอีก แต่มาเจอตนซึ่งนั่งพับผ้าเก็บใส่ตู้อยู่บนเตียงนอนในห้องนอนชั้นล่าง ขณะนั้นได้มีหนึ่งในชุดสืบสวนได้ถีบยอดอกตน แล้วเหยียบค้ำคอตนไว้พร้อมขู่ให้บอกที่ซ่อนของยาเสพติด โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่าสืบทราบว่ามียาเสพติดซุกซ่อนที่โซฟา ตนก็บอกว่าไม่ทราบจริงๆ ระหว่างที่ถูกเจ้าหน้าที่รายนั้นเหยียบคออยู่เจ้าหน้าที่ก็ค้นตามร่างกายไปด้วยแต่ไม่พบอะไร จากนั้นเขาก็ให้ตนลุกขึ้น แต่ตนบอกว่าลุกเองไม่ได้เพราะพิการ ทั้งนี้ตนขาพิการเดินไม่ได้ตั้งแต่อายุ 12 ปี เนื่องจากมีปัญหากล้ามเนื้อ แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็ยังบอกว่า มึงทำอะไรก็ได้ให้ลุกมา ซึ่งระหว่างนั้นนายสุรศักดิ์ก็ได้เข้ามาช่วย ทั้งนี้ ระหว่างการตรวจค้นวันนั้น เจ้าหน้าที่ยังได้นำไวน์เก่า 6 ขวด, สมุดเหรียญสะสม, ภาพพระหายาก, ไฟแช็กซิปโป้, เครื่องปั๊มน้ำ และพระเครื่องไปด้วย ซึ่งรวมทรัพย์สินที่มาตรวจยึดไปทั้ง 2 วันรวมทั้งสิ้น 16 รายการ อีกทั้งทรัพย์สินทั้งหมดก็เป็นของเก่าสามีนางสาครอีกด้วย
“ผมไม่ได้ติดใจจะแจ้งความเรื่องถูกทำร้าย แต่อยากจะขอความเป็นธรรมให้นางสาคร เพราะทรัพย์สินที่ตรวจยึดไปเป็นของมรดกของคนที่เสียชีวิตไปแล้วอยากให้ช่วยติดตามมาคืนเท่านั้น หลังจากนั้น 2-3 สัปดาห์ก็มีชายชุดดำมาป้วนเปี้ยนหน้าบ้านจนนายสุรศักดิ์ ไม่กล้าออกไปไหน และนางสาครเองก็ไม่กล้าเข้าบ้าน จนตัดสินใจพากันมาขอความเป็นธรรม” นายวีระพงษ์ กล่าว
พ.ต.อ.ธีระพงษ์กล่าวว่า ในวันที่ยึดของกลางมาตนเห็นว่าไม่มีอะไร ประกอบกับพนักงานสอบสวนไม่ได้ออกหมายจับหรือหมายเรียกนางสาคร จนมาทราบวันนี้ว่ามีปืนถูกยึดมาด้วย สำหรับทรัพย์สินจะได้คืนหรือไม่นั้น ตอบไม่ได้ เพราะขบวนการยังมีหลายขั้นตอน แต่การเข้าค้นนั้นเนื่องจากนางสาคร เกี่ยวข้องกับนายสมชาย ซึ่งมีคดีลักทรัพย์และรับของโจรอยู่ ส่วนเรื่องชายชุดดำที่มาเฝ้านั้นตนก็ไม่แน่ใจ เนื่องจากคดีนี้มีตำรวจหลายหน่วยร่วมทำคดี ถึงอย่างไรถ้านางสาครไม่ได้ทำผิด ก็ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องร้อนตัว ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย แต่ในเบื้องต้นทางตำรวจก็ยังไม่ได้มีการออกหมายจับนางสาครแต่อย่างใด เพียงแต่เข้าข่ายต้องสงสัยว่า อาจมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับนายสมชายเท่านั้น ส่วนของกลางทั้งหมดที่ถูกส่งไปตรวจสอบจะติดตามกลับมาคืนให้อย่างรวดเร็วที่สุด