อุทธรณ์พิพากษาแก้เพิ่มโทษคุมประพฤติ 1 ปี บริการสังคม 20 ชั่วโมง อดีตซี 8 กรมทางหลวง จับนมแอร์บินไทย หลังจากศาลชั้นต้นสั่งจำ 15 เดือน ปรับหมื่นห้า ศาลระบุโทษสามารถแก้ไขพฤติกรรมได้ แต่เพื่อให้หลาบจำจึงต้องให้คุมประพฤติเพิ่ม ด้านแอร์สาวพอใจผลคำพิพากษา ชี้เป็นอุทาหรณ์ให้ลูกผู้หญิงลุกขึ้นมาฮึดสู้
วันนี้ (13 พ.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 912 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในคดีหมายเลขดำที่ อ.452/2548 ที่ พนักงานอัยการกองคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ฟ้อง นายชาญชัย พิจิตรภักดีกุล อายุ 72 ปี อดีตข้าราชการระดับ 8 กรมทางหลวง และประธานบริษัท แอดวานซ์ สไปรูลิน่า ไบโอเทคโนโลยี จำกัด จำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากสาหร่าย อยู่บ้านเลขที่ 350 หมู่ 1 ต.ศาลา อ.เกาะคา จ.ลำปาง เป็นจำเลยในความผิดฐานกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่า 15 ปี โดยใช้กำลังคดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 15 ก.พ.48 ระบุความผิดจำเลยสรุปว่า
เมื่อวันที่ 25 ก.ย.2546 ขณะที่จำเลยโดยสารเครื่องบินของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เที่ยวบินทีจี 517 จากท่าอากาศยานกรุงเทพฯ ไปยังเมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จำเลยได้เรียก น.ส.เอ (นามสมมติ) ผู้เสียหาย หรือ น.ส.ชุติพร จำรัสฤทธิรงค์ อายุ 33 ปี พนักงานต้อนรับมาเสิร์ฟสุราหลายครั้ง ขณะผู้เสียหายกำลังโน้มตัวไปเก็บถาดอาหารที่จำเลยนั่งอยู่ จำเลยได้ลวนลามผู้เสียหายด้วยการจับมือและบีบหน้าอก แต่ผู้เสียหายเพียงแค่ขอร้องและตักเตือนเนื่องจากมีกฎห้ามทะเลาะกับผู้โดยสาร โจทก์ยังระบุฟ้องด้วยว่า ระหว่างเดินทางจำเลยยังได้ลวนลามผู้โดยสารหญิงซึ่งเป็นนักธุรกิจอีก 2 คนที่ร่วมเดินทางขณะไปเข้าห้องน้ำด้วยการใช้มือจับสะโพกและลูบต้นขา ต่อมาผู้เสียหายทั้ง 3 คนได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่สายการบินทราบ และเข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปราม หลังเดินทางกลับประเทศไทย
จำเลยให้การปฏิเสธอ้างว่า ที่นั่งผู้โดยสารชั้นประหยัดมีขนาดเล็ก ขณะที่จำเลยมีรูปร่างสูงใหญ่ ทำให้แขนไปถูกผู้เสียหายโดยไม่ได้เจตนา ส่วน น.ส.ชุติพร ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีด้วย
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 3 พ.ค.49 โดยพิเคราะห์พยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า ผู้เสียหายทั้งสามต่างเบิกความยืนยันมั่นคงถึงพฤติการณ์ของจำเลย ที่จำเลยต่อสู้ว่าที่นั่งโดยสารมีขนาดเล็กจนถูกตัวผู้เสียหายโดยไม่มีเจตนานั้นฟังไม่ขึ้น เชื่อว่าจำเลยกระทำผิดจริงตามฟ้องจริง
พิพากษาให้จำคุกรวม 3 กระทงๆ ละ 5 เดือน ปรับกระทงละ 5,000 บาท รวม จำคุกทั้งสิ้น 15 เดือน ปรับ 15,000 บาท เนื่องจากจำเลยเคยรับราชการประกอบคุณงามความดีจนได้เครื่องราชอิสริยาภรณ์เห็นควรให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดี โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี อัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลทบทวนการลงโทษ และระงับรอการลงโทษ ส่วนจำเลยยื่นอุทธรณ์ให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า จากคำเบิกความของโจทก์ร่วม และพยานโจทก์ที่เป็นผู้โดยสาร 2 คน ว่าไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อน อีกทั้งโจทก์ร่วมเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินต้องเอาใจผู้โดยสารให้เกิดความประทับใจ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโจทก์ร่วมไม่น่าจะสร้างเรื่องขึ้นมาให้เกิดความอับอายจากพฤติการณ์ของจำเลยที่จับหน้าอกโจทก์ร่วมขณะโน้มตัวเก็บถาดอาหาร จนทำให้โจทก์ร่วมต้องวิ่งหนีไปในห้องครัวด้วยความตกใจ แม้จำเลยจะนำสืบว่าขณะถือแก้วบรั่นดีอยู่ เผลอไปถูกหน้าอก โจทก์ร่วมโดยไม่ได้ตั้งใจ เห็นว่าหากเป็นตามที่จำเลยอ้างจริง โจทก์ร่วมก็ไม่น่าถึงกับตกใจวิ่งเข้าไปในห้องครัว จากนั้นจำเลยยังตามเข้าไป พร้อมอวดอ้างว่าเป็นอธิบดี และโวยวายไม่เลิกรา เพื่อต้องการให้พนักงานมาบริการ ซึ่งพนักงานต้อนรับรายอื่นต้องเชิญจำเลยกลับไปนั่งที่แล้วกล่าวขอโทษที่ไม่ได้เติมสุราให้ ซึ่งการขอโทษดังกล่าวเป็นการขอโทษที่ไม่ได้ให้บริการ ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นกับโจทก์ร่วมแต่อย่างใด
พิเคราะห์จากหนังสือแสดงความเห็นของพยานที่เป็นผู้โดยสารบนเครื่องบินสนับสนุนคำเบิกความของพยานโจทก์ทุกปากแล้ว เห็นว่าจำเลยกระทำความผิดจริงตามฟ้อง อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ที่ระบุว่าโทษที่ศาลชั้นต้นลงโทษนั้นเหมาะสมหรือไม่ เมื่อจำเลยอ้างว่าเมาขาดสติยั้งคิด แต่หลังจากที่ก่อเหตุแล้วยังไม่สำนึก กลับข่มขู่และอวดอ้างตัวเอง เป็นการไม่เคารพต่อศักดิ์ศรีของผู้หญิงนั้น เห็นว่าโทษที่ศาลชั้นต้นลงโทษและให้รอการลงโทษนั้น น่าจะสามารถแก้ไขพฤติการณ์ของจำเลยได้ แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำ
พิพากษาแก้ เห็นควรเพิ่มโทษ โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติมีกำหนด 3 เดือน ต่อ ครั้ง เป็นเวลา 1 ปี และให้ใช้ความรู้บริการสังคมเป็นเวลา 20 ชั่วโมงด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น
ภายหลัง น.ส.ชุติพร ซึ่งเดินมาฟังคำพิพากษาพร้อมกับมารดา กล่าวว่า รู้สึกพอใจกับผลคำพิพากษาในระดับหนึ่ง เพราะศาลได้ชี้ให้เห็นความผิดของจำเลย และได้ลงโทษคนผิดแล้ว ส่วนจะยื่นฎีกาต่อไปหรือไม่ตนคงต้องปรึกษากับพนักงานอัยการ และผู้เสียหายคนอื่นอีกครั้ง
“ดิฉันคิดว่าการที่ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยในคดีนี้จะเป็นอุทาหรณ์อย่างดีสำหรับผู้หญิงที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ และอยากเรียกร้องให้ผู้หญิงที่ถูกกระทำทุกคนลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อสิทธิและศักดิ์ศรีของตัวเอง” น.ส.ชุติพร กล่าวตอนท้าย
วันนี้ (13 พ.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 912 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในคดีหมายเลขดำที่ อ.452/2548 ที่ พนักงานอัยการกองคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ฟ้อง นายชาญชัย พิจิตรภักดีกุล อายุ 72 ปี อดีตข้าราชการระดับ 8 กรมทางหลวง และประธานบริษัท แอดวานซ์ สไปรูลิน่า ไบโอเทคโนโลยี จำกัด จำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากสาหร่าย อยู่บ้านเลขที่ 350 หมู่ 1 ต.ศาลา อ.เกาะคา จ.ลำปาง เป็นจำเลยในความผิดฐานกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่า 15 ปี โดยใช้กำลังคดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 15 ก.พ.48 ระบุความผิดจำเลยสรุปว่า
เมื่อวันที่ 25 ก.ย.2546 ขณะที่จำเลยโดยสารเครื่องบินของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เที่ยวบินทีจี 517 จากท่าอากาศยานกรุงเทพฯ ไปยังเมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จำเลยได้เรียก น.ส.เอ (นามสมมติ) ผู้เสียหาย หรือ น.ส.ชุติพร จำรัสฤทธิรงค์ อายุ 33 ปี พนักงานต้อนรับมาเสิร์ฟสุราหลายครั้ง ขณะผู้เสียหายกำลังโน้มตัวไปเก็บถาดอาหารที่จำเลยนั่งอยู่ จำเลยได้ลวนลามผู้เสียหายด้วยการจับมือและบีบหน้าอก แต่ผู้เสียหายเพียงแค่ขอร้องและตักเตือนเนื่องจากมีกฎห้ามทะเลาะกับผู้โดยสาร โจทก์ยังระบุฟ้องด้วยว่า ระหว่างเดินทางจำเลยยังได้ลวนลามผู้โดยสารหญิงซึ่งเป็นนักธุรกิจอีก 2 คนที่ร่วมเดินทางขณะไปเข้าห้องน้ำด้วยการใช้มือจับสะโพกและลูบต้นขา ต่อมาผู้เสียหายทั้ง 3 คนได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่สายการบินทราบ และเข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปราม หลังเดินทางกลับประเทศไทย
จำเลยให้การปฏิเสธอ้างว่า ที่นั่งผู้โดยสารชั้นประหยัดมีขนาดเล็ก ขณะที่จำเลยมีรูปร่างสูงใหญ่ ทำให้แขนไปถูกผู้เสียหายโดยไม่ได้เจตนา ส่วน น.ส.ชุติพร ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีด้วย
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 3 พ.ค.49 โดยพิเคราะห์พยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า ผู้เสียหายทั้งสามต่างเบิกความยืนยันมั่นคงถึงพฤติการณ์ของจำเลย ที่จำเลยต่อสู้ว่าที่นั่งโดยสารมีขนาดเล็กจนถูกตัวผู้เสียหายโดยไม่มีเจตนานั้นฟังไม่ขึ้น เชื่อว่าจำเลยกระทำผิดจริงตามฟ้องจริง
พิพากษาให้จำคุกรวม 3 กระทงๆ ละ 5 เดือน ปรับกระทงละ 5,000 บาท รวม จำคุกทั้งสิ้น 15 เดือน ปรับ 15,000 บาท เนื่องจากจำเลยเคยรับราชการประกอบคุณงามความดีจนได้เครื่องราชอิสริยาภรณ์เห็นควรให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดี โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี อัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลทบทวนการลงโทษ และระงับรอการลงโทษ ส่วนจำเลยยื่นอุทธรณ์ให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า จากคำเบิกความของโจทก์ร่วม และพยานโจทก์ที่เป็นผู้โดยสาร 2 คน ว่าไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อน อีกทั้งโจทก์ร่วมเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินต้องเอาใจผู้โดยสารให้เกิดความประทับใจ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโจทก์ร่วมไม่น่าจะสร้างเรื่องขึ้นมาให้เกิดความอับอายจากพฤติการณ์ของจำเลยที่จับหน้าอกโจทก์ร่วมขณะโน้มตัวเก็บถาดอาหาร จนทำให้โจทก์ร่วมต้องวิ่งหนีไปในห้องครัวด้วยความตกใจ แม้จำเลยจะนำสืบว่าขณะถือแก้วบรั่นดีอยู่ เผลอไปถูกหน้าอก โจทก์ร่วมโดยไม่ได้ตั้งใจ เห็นว่าหากเป็นตามที่จำเลยอ้างจริง โจทก์ร่วมก็ไม่น่าถึงกับตกใจวิ่งเข้าไปในห้องครัว จากนั้นจำเลยยังตามเข้าไป พร้อมอวดอ้างว่าเป็นอธิบดี และโวยวายไม่เลิกรา เพื่อต้องการให้พนักงานมาบริการ ซึ่งพนักงานต้อนรับรายอื่นต้องเชิญจำเลยกลับไปนั่งที่แล้วกล่าวขอโทษที่ไม่ได้เติมสุราให้ ซึ่งการขอโทษดังกล่าวเป็นการขอโทษที่ไม่ได้ให้บริการ ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นกับโจทก์ร่วมแต่อย่างใด
พิเคราะห์จากหนังสือแสดงความเห็นของพยานที่เป็นผู้โดยสารบนเครื่องบินสนับสนุนคำเบิกความของพยานโจทก์ทุกปากแล้ว เห็นว่าจำเลยกระทำความผิดจริงตามฟ้อง อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ที่ระบุว่าโทษที่ศาลชั้นต้นลงโทษนั้นเหมาะสมหรือไม่ เมื่อจำเลยอ้างว่าเมาขาดสติยั้งคิด แต่หลังจากที่ก่อเหตุแล้วยังไม่สำนึก กลับข่มขู่และอวดอ้างตัวเอง เป็นการไม่เคารพต่อศักดิ์ศรีของผู้หญิงนั้น เห็นว่าโทษที่ศาลชั้นต้นลงโทษและให้รอการลงโทษนั้น น่าจะสามารถแก้ไขพฤติการณ์ของจำเลยได้ แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำ
พิพากษาแก้ เห็นควรเพิ่มโทษ โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติมีกำหนด 3 เดือน ต่อ ครั้ง เป็นเวลา 1 ปี และให้ใช้ความรู้บริการสังคมเป็นเวลา 20 ชั่วโมงด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น
ภายหลัง น.ส.ชุติพร ซึ่งเดินมาฟังคำพิพากษาพร้อมกับมารดา กล่าวว่า รู้สึกพอใจกับผลคำพิพากษาในระดับหนึ่ง เพราะศาลได้ชี้ให้เห็นความผิดของจำเลย และได้ลงโทษคนผิดแล้ว ส่วนจะยื่นฎีกาต่อไปหรือไม่ตนคงต้องปรึกษากับพนักงานอัยการ และผู้เสียหายคนอื่นอีกครั้ง
“ดิฉันคิดว่าการที่ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยในคดีนี้จะเป็นอุทาหรณ์อย่างดีสำหรับผู้หญิงที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ และอยากเรียกร้องให้ผู้หญิงที่ถูกกระทำทุกคนลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อสิทธิและศักดิ์ศรีของตัวเอง” น.ส.ชุติพร กล่าวตอนท้าย