สน.เพชรเกษม รวบตัวตำรวจบ้าน อ้างตัวเป็นตำรวจท้องที่ใส่กุญแจมือหนุ่มโรงงานอิฐบล็อกพร้อมขูดรีดเงินกว่า 7 หมื่น ขณะออกมาโบกรถเตรียมขนเงินที่เพื่อนในโรงงาน ฝากกลับไปให้ญาติที่จ.เลย ตร. ควบคุมตัวดำเนินคดีข้อหาชิงทรัพย์ผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น
วันนี้(4 พ.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น. ร.ต.ต.นภัสพงษ์ พัฒนา หัวหน้าสายตรวจ สน.เพชรเกษม พร้อมกำลัง จับกุมตัว นายประชากิจ หึกขุนทด อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 18/37 ซอยชัยวัฒนะ แขวงบางค้อ เขตจอมทอง กทม. พร้อมของกลางเงินสด 40,000 บาท โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง รถ จยย.ยี่ห้อคาวาซากิ สีขาว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน 1 คัน และกุญแจมือ 1 คู่ โดยสามารถจับกุมตัวได้ที่ ห้องพักเลขที่ 230 อาคาร 1 สุนทรแมนชั่น ถนนสุขาภิบาล 1 แขวงและเขตบางแค กทม.
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อเวลา 04.00 น.นายประชากิจ ซึ่งเป็นตำรวจบ้านของ สน.เพชรเกษม ได้ตระเวนขับ จยย.ไปบนถนนกาญจนา จนมาถึงช่วงโชว์รูมรถฮอนด้า ถนนกาญจนาภิเษก แขวงและเขตบางแค กทม. ได้พบนายสุกรี ยิ่งยง อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 184 หมู่ 8 ต.ห้วยพิชัย อ.ปากชม จ.เลย กำลังยืนรอรถโดยสารอยู่ ซึ่งขณะนั้นนายสุกรี เพิ่งเดินทางกลับมาจาก จ.กระบี่ และกำลังจะเดินทางไปขนส่งสายเหนือ เพื่อต่อรถเดินทางกลับบ้านเกิดที่ จ.เลย
เมื่อนายประชากิจ ขับผ่านไปพบผู้เสียหายก็ได้ขับ จยย.ไปจอดดักอยู่ตรงหน้า แล้วแสดงตัวอ้างว่าเป็นตำรวจ สน.หลักสอง ก่อนที่จะขอตรวจค้น จากนั้นได้ใช้กุญแจมือใส่ที่ข้อมือของนายสุกรี และทำการค้นตัวพบเงินสดจำนวน 73,400 บาท พร้อมโทรศัพท์มือถือยี่ห้อไอโมบายอีก 1 เครื่อง และทำการชิงทรัพย์ของทั้งหมด ก่อนที่จะขับรถ จยย.หลบหนีไป
จากการสอบสวน นายสุกรี กล่าวว่า ตนเป็นลูกจ้างโรงงงานทำอิฐบล๊อก ใน จ.กระบี่ ก่อนเกิดเหตุตนกำลังจะกลับบ้านเกิด ที่ จ.เลย ส่วนเงินทั้งหมด เป็นเงินที่เพื่อนๆ คนงาน ที่อยู่บ้านเดียวกัน รวบรวมนำมาฝากให้ตนนำกลับไปให้ญาติที่บ้าน แต่ปรากฏว่า มาพบกับนายประชากิจ ซึ่งแอบอ้างตัวเป็นตำรวจ แต่ท่าทีไม่น่าเชือถือตนจึงไม่ยอมให้ค้นตัว จึงถูกนายประชากิจ จับใส่กุญแจมือและชิงเอาทรัพย์สินทั้งหมดหลบหนีไป โดยก่อนที่นายประชากิจ จะเร่งเครื่องรถ จยย.หลบหนีไปนั้น ยังได้หันมากล่าวกับตนอีกด้วยว่า "ถ้าอยากเจอกูให้ไปหาได้ที่ สน.หลักสอง" แต่เมื่อตนเดินทางไปที่ สน.หลักสอง ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนนำเอารูปถ่ายของตำรวจมาให้ดูทั้งโรงพัก ซึ่งก็ไม่มีใครที่มีลักษณะคล้ายกับผู้ต้องหาเลย ตนจึงเดินทางไปแจ้งความในท้องที่ สน.เพชรเกษม ซึ่งเป็นท้องที่ใกล้เคียงกัน ปรากฏว่าเมื่อลองบอกรูปพรรณสัณฐานให้พนักงานสอบสวนฟัง ก็สามารถติดตามจับกุมตัวคนร้ายได้ทันที
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาแสดงตนเป็นเจ้าพนักงาน และกระทำการเป็นเจ้าพนักงาน โดยมิได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจ และชิงทรัพย์ผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย และหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น แก่นายประชากิจ ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.เพชรเกษมเพื่อดำเนินคดีต่อไป